หลังจากที่รัฐบาลจีนตั้งยิ่งเป้าหมายใหญ่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลก “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ภายในปี 2030 ขับเคลื่อนประเทศสู่ผู้นำเศรษฐกิจแห่งโลกอนาคต ทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐเดือดร้อน รวมถึงนานาชาติที่กังวลถึงความมั่นคงต่อแผนสร้างกองทัพปัญญาประดิษฐ์ของจีน ความหวาดกลัวของสหรัฐชัดเจนขึ้น
รอยเตอร์สรายงานว่ากลุ่ม “Five eyes” ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ ที่ร่วมแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองเพื่อต้านการแอบสืบข้อมูลลับ พากันทยอยคว่ำบาตรอุปกรณ์สื่อสารเครือข่าย 5G และอุปกรณ์สื่อสารอื่นจาก “หัวเว่ย” และ “แซดทีอี” 2 บริษัทโทรคมนาคมใหญ่จากจีน
เริ่มจากพี่ใหญ่ “สหรัฐอเมริกา” ที่จำกัดการเข้าถึงตลาดสหรัฐตั้งแต่ต้นปีกังวลว่าจีนอาจสอดแนมข้อมูลผู้บริโภคผ่านการเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์สื่อสาร
ตามมาด้วย “ออสเตรเลีย” ที่ทางการแคนเบอร์ราสั่งแบนอุปกรณ์จากทั้ง 2 บริษัท ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลปักกิ่งจะใช้เพื่อแฮกข้อมูลจากลูกค้าชาวออสซี่ได้ ส่วน “นิวซีแลนด์” และ “อังกฤษ” ระบุว่าหัวเว่ยและแซดทีอีเป็นเครื่องมืออันตรายของรัฐบาลจีน ที่ใช้ในการสอดแนมการพัฒนาเทคโนโลยีของชาติอื่น
ล่าสุด “ญี่ปุ่น” พันธมิตรที่เหนียวแน่นของสหรัฐ สั่งระงับการซื้อสินค้าจำพวกอุปกรณ์เทคโนโลยีจากทั้งสองบริษัท เพื่อป้องกันการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ต
แน่นอนมาตรการของสหรัฐและชาติพันธมิตรทำให้สถานการณ์ทางธุรกิจของหัวเว่ยและแซดทีอียากลำบากขึ้น
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ของ “บลูมเบิร์ก บิสซิเนสวีก” ระบุถึงกรณีของ”เม่ง หว่านโจว” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) บริษัทหัวเว่ย ที่ถูกจับกุมตัวในแคนาดาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยความผิดที่ใช้บริษัท “สกายคอม” ตั้งขึ้นบังหน้าทำธุรกิจขายอุปกรณ์สื่อสารให้กับอิหร่าน เป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ การจับกุมครั้งนี้เป็นความพยายามของสหรัฐที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ “หัวเว่ย” เป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัยของโลก
พร้อมอ้างคำกล่าวของนักวิเคราะห์จากบริษัท PWC ที่ปรึกษาด้านธุรกิจและบัญชีชั้นนำว่า นี่เป็นเกมสกัดกั้นจีน ทั้งพยายามเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรอื่นช่วยกันหยุดความยิ่งใหญ่ของจีน เพราะสหรัฐไม่ต้องการเสียตำแหน่งการเป็น “เจ้าแห่งเทคโนโลยีของโลก”
การรุกคืบสู่ความเป็นผู้นำโลกด้าน AI ของจีนเกิดขึ้นในทุกมิติ ตั้งแต่การที่จีนปรับหลักสูตรการศึกษาใหม่นำเอา AI มาเป็นหนึ่งในวิชาหลักในระดับมัธยมศึกษา เพื่อปูฐานสร้างบุคลากรด้านเอไอตั้งแต่เด็ก รวมถึงโครงการลงทุนพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ จีนเปิดตัวผู้ประกาศข่าว AI รายแรกของโลก
บลูมเบิร์ก บิสซิเนสวีกระบุว่า ในปี 2019 เป็นปีแห่งเทคโนโลยีที่ชัดเจนขึ้น การชิงตำแหน่งมหาอำนาจโลกยุคดิจิทัล จะต้องแข่งกันจากการชิงความเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G, ยานยนต์ไร้คนขับ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงในทศวรรษข้างหน้า
และดูเหมือนว่า เกมที่สหรัฐเปิดฉากถล่มจีน ตั้งแต่เรื่องสงครามการค้า จนถึงมาตรการต่าง ๆ ที่จัดการกับ “หัวเว่ย”และ “แซดทีอี” ทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันก็คือเตะสกัดจีน ในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจโลกนั่นเอง
Mary Nicha เชียร์สหรัฐ เพราะคนจีนนิสัยไม่ดี รุกรานดินแดนทะเลจีนใต้ มหาอำนาจประเทศที่ปกครองแบบระบบอประชาธิปไตร ยังน่ากลัวน้อยกว่ามหาอำนาจที่ปกครองโดยคอมมิวนิสต์ แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาขาติ แม่งยังสร้างเขื่อน ให้ประเทศปลายน้ำเดือดร้อน ทำอะไรมันได้ไหม
16 ธ.ค. 2561 เวลา 00.23 น.
พิสิษฐ์ พัฒน์ธนมงคล คิดว่ายังห่างชั้นกันหลายช่วงตัว
15 ธ.ค. 2561 เวลา 18.41 น.
เก่ง..มาจากไหนก็แพ้. เหตุผลมันมีตลอด สารพัด เด่นดัง ก็จัดไป
15 ธ.ค. 2561 เวลา 16.27 น.
Joe คล้ายกับช่วงเวลาที่ประเทศแถบเอเชียโดนฝั่งยุโรป+เมกา ที่เพิ่งรบมประเทศได้ ออกทำการล่าอาณานิคม สมัครช่วง ร.4-5เลยอ่ะครับ (ถ้าท่านใดมีข้อมูลเปรียบเทียบได้ก็ดีนะครับ)
15 ธ.ค. 2561 เวลา 16.19 น.
•วุ้น• แต่ก่อนกินรวบคนเดียว
พอวันนี้มีคู่แข่งที่สูสี ก็หาเรื่องแล้ว
ทำตัวเป็นพี่เบิ้มมานาน
สงครามรอบนี้ ใครจะชนะ
ผลกระทบจะแรงขนาดไหน
ต้องรอดู
15 ธ.ค. 2561 เวลา 16.12 น.
ดูทั้งหมด