การกลั่นแกล้งในสังคมมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่การแสดงกิริยาก้าวร้าวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคำพูดที่แสดงถึงการล้อเลียน เสียดสี เหยียดหยาม ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา ท่าทาง ปมด้อย เพศ รสนิยม ทัศนคติ การศึกษา ความสามารถ หรือแม้กระทั่งความเชื่อส่วนบุคคล แต่ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งรูปแบบไหนก็นับว่าเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจยอมรับได้ เพราะแค่เพียงไม่กี่คำหรือพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจสร้างบาดแผลไว้ในใจของคนโดนแกล้งไปอีกนานแสนนาน
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่หลายๆ ครั้ง พฤติกรรมการกลั่นแกล้งของใครบางคนจะทำให้ใครหลายคนเกิดความไม่พอใจ จนนำไปสู่การรวมกลุ่มหรือการเคลื่อนไหวเพื่อ 'ต่อต้าน' คนคนนั้น
ท่ามกลางความโกรธเกลียดของคนในสังคม ที่มีต่อคนที่มักพูดจากลั่นแกล้งหรือรังแกคนอื่น ต่างมีบริบทอีกมากมายที่แทรกเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น การให้กำลังใจ รวมไปถึงการออกมาปกป้องผู้ที่ถูกกระทำ แต่บางครั้ง การปกป้องไม่ได้มาในรูปแบบของการวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่มาในรูปแบบของการต่อว่าหรือด่าทอผู้ที่กลั่นแกล้งแทน
ซึ่งการ 'บูลลี่กลับ' เพื่อโต้ตอบนั้น ก็กลายเป็นการ 'ผลิตซ้ำ' วัฒนธรรรมการบูลลี่ไปเรื่อยๆ
เพื่อย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการบูลลี่ ในแง่หนึ่งจึงมีความต้องการที่จะทำให้คนที่กลั่นแกล้งเข้าใจถึงประสบการณ์เจ็บปวดแบบเดียวกัน นั่นก็คือการ 'เอาคืน' หรือการ ‘บูลลี่กลับ’ (แอบฟังดูย้อนแย้ง) ในยุคที่เพียงจรดปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมได้ง่ายๆ การเลือกใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกโต้กลับ ทั้งวิธีพิมพ์ข้อความ hate speech ลงไปหวังให้คนคนนั้นเสียหาย การขุดประวัติเก่าๆ ขึ้นมาเล่า ไปจนถึงโจมตีรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้น เวลามีคนทำผิดพลาดไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถูกบูลลี่กลับอีกที เช่นว่า "หน้าตาก็ไม่ดี ยังไปบูลลี่คนอื่นอีกเหรอ" หรือ "พอบูลลี่กลับ ทำไมทำเป็นรับไม่ได้" แน่นอนว่าหากคนบูลลี่ได้ยินเช่นนี้ คงรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แต่การเอาคืนช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรจริงๆ รึเปล่า? เพราะนอกจากจะดูย้อนแย้งแล้ว เหตุผลที่เราไม่ควรหยุดปรากฏการณ์นี้ด้วยการบูลลี่กลับ คือ มันอาจจะไปสานต่อ ‘วัฏจักรการกลั่นแกล้ง’ (the cycle of bullying) ไปเรื่อยๆ แบบไม่จบไม่สิ้น เพราะในขณะที่เราต่อต้านการกลั่นแกล้งรังแกกัน เรากลับเป็นทำซ้ำพฤติกรรมนั้นซะเอง และหากได้ลองทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้คนคหนึ่งมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาเองก็ ‘เคยถูกกลั่นแกล้ง' มาก่อน
การสำรวจข้อมูลการกลั่นแกล้งในประเทศอังกฤษปี ค.ศ.2016 ของเว็บไซต์ Ditch the Label เผยว่า คนที่เคยเจอประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้งมาก่อน มักจะมีพฤติกรรมกลั่นแกล้งคนอื่นต่ออีกที อาจจะด้วยปมจากการถูกรังแกหรือพูดจาดูหมิ่นในอดีตที่นานมาแล้ว หรือ ณ ปัจจุบันอันใกล้ก็ตาม พวกเขาจึงต้องสร้าง ‘กลไกป้องกันตนเอง’ (defence mechanism) ขึ้นมา ด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าไม่เป็นผู้กระทำก่อน จะกลายเป็นถูกกระทำซะเอง ดังนั้น การเริ่มกระทำก่อนจึงทำให้พวกเขารู้สึกมีอำนาจเหนือผู้อื่น และทำให้ปมด้อยที่มีถูกมองข้ามไป
หากลองสังเกตภาพวัฏจักรการกลั่นแกล้งของ แดน โอล์เวาส์ (Dan Olweus) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบอร์เกน ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมด จะเห็นว่ามีบริบทต่างๆ และบุคคลอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้กลั่นแกล้งและผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งเท่านั้น แต่ยังมีผู้สนับสนุน รวมถึงที่คอยดูอยู่ห่างๆ และผู้ที่ออกมาปกป้องอีกที
เราจะเห็นเส้นที่เชื่อมโยงระหว่างจุด G (ผู้ที่ออกมาปกป้อง) กับจุด A (ผู้ที่กลั่นแกล้ง) ซึ่งหมายถึงแนวโน้มที่ว่า ผู้ที่อยู่ในจุด G อาจกลายเป็นหนึ่งใน 'สาเหตุ' ที่ทำให้เกิดวัฎจักรนี้ต่อไปโดยไม่รู้ตัว และทำให้พวกเขาไม่ต่างกับผู้ที่กลั่นแกล้ง—วงจรอุบาทว์ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
เรากำลังเป็นคนที่บูลลี่อีกทอดหนึ่งรึเปล่า?
แม้เป็นเรื่องยากที่เราจะมองว่าการกระทำของตัวเองเป็นเรื่องไม่เหมาะสม จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราอาจมีพฤติกรรมกลั่นแกล้งคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แถมยังตบท้ายแบบเซฟๆ ด้วยคำว่า "ล้อเล่น" จนเคยชิน แต่ถ้าเราไม่อยากเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น วิธีหนึ่งที่ทำได้ไม่ยากคือ 'สังเกต' รีแอ็กชั่นของคู่สนทนาหรือคนรอบข้างตลอดเวลา ว่าพวกเขามีท่าทีอึดอัดหรือไม่สบายใจกับคำพูดหรือการกระทำของเราหรือเปล่า เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเซนซิทีฟกับคำพูดหรือการกระทำของเรามากน้อยแค่ไหน หรือถ้าจู่ๆ มีใครเดินเข้ามาตักเตือนหรือแนะนำ ก็ลองรับฟังอย่างเปิดใจและไม่โกรธเคือง เพราะถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราทบทวนตัวเองได้ทันเวลา
การเลือกตอบโต้ด้วยวิธีบูลลี่มาบูลลี่กลับ ไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือกิริยาท่าทางใดๆ ก็ตาม นอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหา แถมยังทำให้วัฏจักรการกลั่นแกล้งหมุนเวียนต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากคิดว่าการกลั่นแกล้งกันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นแม้จะกับใครก็ตาม การลองสังเกตผลตอบรับจากอีกฝ่าย ก็น่าจะป้องกันไม่ให้เราสนับสนุนพฤติกรรม ซึ่งเราเองก็ไม่เห็นด้วยได้
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Kodchakorn Thammachart
บ่าง แต่มีจม.ที่ว่า
อ่านแล้วต้องส่ง....คน
ถ้าไม่ทำตามจะ....ไป
เป็นเรื่องที่น่าเบื่อกว่ามากๆ
09 ต.ค. 2562 เวลา 18.47 น.
บูลลี่ในไทยส่วนใหญ่คนเข้าไม่ถึง มักจะเกิดบูลลี่ในบูลลี่อีกที เพราะหมาหมู่นิยม และเป็นไปตามสติปัญญาของอันธพาลกับขี้ข้าโง่ๆ ของพวกมัน ในสังคมที่ไม่พัฒนากลับยอมรับพวกเลวๆ ได้อย่างภาคภูมิใจ มั่นใจพวกกูเยอะจะเลวแค่ไหนก็ได้ มีคนเข้าข้างให้ท้าย ตรงข้ามกับทฤษฎีในต่างประเทศที่กล่าว หาฮีโร่ยากในสถานการณ์สังคมไทยที่ทุกวันนี้ มักสร้างความแตกแยกเกลียดชัง เหยียดคนอื่นที่ไม่คิดเหมือนตน สังเกตุได้จากการด่าทอใน social RIP.
09 ต.ค. 2562 เวลา 16.13 น.
เรื่องบางเรื่องคุยกันดีๆแค่เรามันก็น่าจะเข้าใจนะ ไม่ใช่ไปบอกคนนั้นบอกคนนี้ ดึงคนนั้นดึงนี้เข้ามาวุ่นวาย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮😁🐮😁🐮🐮💤🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮🐮�🐮🐮🐮🐮
09 ต.ค. 2562 เวลา 15.25 น.
🇹🇭wee🇹🇭 ง่ายเลยคำโบราณเค้าเรียกว่าขว้างงูไม่พ้นคอจ้า หรือเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลแต่กินน้พแกงก็ได้นะจ๊ะ
09 ต.ค. 2562 เวลา 15.23 น.
ดูทั้งหมด