ทั่วไป

วอนลดเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ช่วงตรุษจีน ช่วยลดฝุ่น

กรุงเทพธุรกิจ
เผยแพร่ 17 ม.ค. 2563 เวลา 13.45 น.

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีน คนไทยเชื้อสายจีน นิยมจุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทอง และเผาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อบูชาเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และแสดง ความเคารพต่อบรรพบุรุษ ซึ่งการจุดธูปและการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ในแต่ละครั้งจะปล่อยสารมลพิษออกมาคือ ควันและขี้เถ้า ซึ่งสารมลพิษที่ปล่อยออกมา ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน และสารก่อมะเร็งหลายชนิด เช่น สารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช และสารอินทรีย์ระเหยง่าย เช่น เบนซิน (Benzene) และ1,3-บิวทาไดอีน (1,3-butadiene) ส่วนขี้เถ้า จะมีสารโลหะหนัก 4 ชนิด ได้แก่ โครเมียม นิกเกิล ตะกั่ว แมงกานีส และพบโลหะหนักเหล่านี้อยู่ในขี้เถ้ามากกว่าฝุ่นละอองในอากาศประมาณ 3-60 เท่า ซึ่งหากได้สัมผัส อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า จากการสำรวจอนามัยโพลเรื่องพฤติกรรมการใช้ธูป กระดาษเงินกระดาษทอง กับเทศกาลตรุษจีนในช่วงเดือนมกราคม 2562 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,657 คน พบว่า ในวันไหว้ตรุษจีน ประชาชนมีการจุดธูปร้อยละ 79 เผากระดาษเงินกระดาษทองร้อยละ 51 และเผาสิ่งประดิษฐ์จากกระดาษต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ บ้าน รถ ร้อยละ 19 และพบว่าประชาชนบางส่วนยังมีพฤติกรรมการใช้ธูปและเผาที่ไม่ถูกต้อง เช่น ใช้ธูปขนาดสั้นเพียงร้อยละ 33 มีการเผากระดาษเงิน กระดาษทองถึงร้อยละ 98 โดยส่วนใหญ่เป็นการเผาจนหมดแล้วดับ ในส่วนของสุขภาพ ประชาชนเห็นด้วยว่าควันธูปและมลพิษจากการเผากระดาษเงินกระดาษทองมีอันตรายต่อสุขภาพถึงร้อยละ 87 เมื่อสอบถามถึงผลกระทบต่อสุขภาพ และพบว่าประชาชนมีอาการถึงร้อยละ 97 โดยเฉพาะอาการแสบตา แสบจมูก คัดจมูก หายใจลำบาก คันตา และปวดตา และยังไม่ได้มีการป้องกันถึงร้อยละ 54

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

"ทั้งนี้ ช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ อาจจะตรงกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ การจุดธูป รวมทั้งการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ในปริมาณที่มากอาจจะทำให้เกิดควันที่มีสารก่อมลพิษต่าง ๆ มากมาย ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับสารนั้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าประชาชนทั่วไป การป้องกันที่ดีคือลดปริมาณการใช้ โดยใช้ธูปขนาดสั้น ลดปริมาณการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ให้น้อยลง สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นขณะจุดธูปหรือเผา เมื่อจุดแล้วดับหรือเก็บธูปให้เร็วขึ้น ควรจุดนอกบ้านหรือที่อากาศถ่ายเท และยืนอยู่เหนือทิศทางลม ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสธูปและกระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการพักผ่อนหรือนอนหลับบริเวณที่มีการจุดธูป เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองจากควันธูปที่อาจตกค้างได้ รวมทั้งกำจัดขี้เถ้าจากธูปและกระดาษเงิน กระดาษทอง โดยเก็บขี้เถ้า ใส่ถุง และส่งให้ท้องถิ่นรับไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป" อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 14
  • Jao_Thanapong
    น่าจะพาไปตรวจโรงงานที่รับเอาขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลก มาเผาที่เมืองไทยว่ามีสารพิษใหม โดยเฉพาะภาคกลางมีเยอะกว่าที่แทนแต่ ไม่น่าจะมี. เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่มีใครได้พูดถึงกันเลย หรือว่าโรงงานเหลือน้อยเลยไม่พูดถึง
    17 ม.ค. 2563 เวลา 16.18 น.
  • ห้ามทำไฟแช็คออกมาขายจบ..ให้ทำออกมาจำหน่ายเฉพาะปืนยิงแก๊สหุงต้มพอ..จบ..ไร้สาระแม่งห้ามไปซะทุกอย่าง
    17 ม.ค. 2563 เวลา 16.13 น.
  • TIGER
    มึงจะขอสนตีนไรมันเป็นประเพณีเค้า
    17 ม.ค. 2563 เวลา 16.03 น.
  • zen
    ต้องแกที่ต้นเหตุห้ามผลิต ห้ามนำเข้า บุหรี่ ธูป กระดาษเซ่นไหว้ทุกชนิด เมื่อไม่มีให้ใช้ก็ไม่มีการเผา ห้ามไม่ได้หรอกเรื่องไม่ให้เผา ไปห้ามพวกขี้ยาหยุดสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ สูบหน้าบ้านคนอื่น กน้าบ้านตัวเองไม่กล้าสูบให้ได้ก่อน ค่อยมาคิดเปลี่ยนแปลงประเพณีนะ อันนั้นง่ายกว่าอันนี้เยอะ ถึงคนไทยทั้งประเทศหยุดเผากระดาษไหว้ ที่ประเทศจีนก็เผาอยู่ดีคนเกือบพันล้าน
    17 ม.ค. 2563 เวลา 15.55 น.
  • 🙊🙉🙈 nooM
    อ้าว แล้วอาก๋ง อาม่า ก็ฝืดเคืองอะดิ โหยเดือดร้อน
    17 ม.ค. 2563 เวลา 15.54 น.
ดูทั้งหมด