ขยะพลาสติกจากบริการส่งอาหารในรูปแบบฟู้ดเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีการประกาศใช้มาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ต้องมีการขอความร่วมมือให้ประชาชนจำกัดการเดินทาง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รวมถึงทำงานอยู่บ้าน (Work from Home)
เปิดผลวิจัยปริมาณขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19
ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นำโดย ดร. กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส ด้านนโยบายด้านภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว ดร. วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงานเพื่อความยั่งยืน และ ประมณฑ์ กาญจนพิมลกุล นักวิจัยด้านนโยบายด้านภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว เผยผลวิจัยเรื่องปริมาณขยะเดลิเวอรี่ในช่วงโควิด-19 ระบุว่า การที่ประชาชนต้องทำงานอยู่บ้านมากขึ้นส่งผลให้ต้องใช้บริการสั่งอาหารในรูปแบบเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการต่างๆ อาทิ LINEMAN, GRAB FOOD, GET, FOOD PANDA เป็นต้น
ในมุมของประชาชนในฐานะผู้บริโภค การสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เปิดโอกาสให้สามารถเลือกบริการที่ดีที่สุด ราคาที่สบายกระเป๋ามากที่สุด และยังมีโอกาสเข้าถึงร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ในขณะเดียวกันธุรกิจร้านอาหารต่างๆ ก็มีช่องทางขายมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งชดเชยกับรายได้ที่สูญเสียไปจากการมาตรการของภาครัฐที่ไม่อนุญาตให้นั่งทานอาหารที่ร้าน
ในช่วงปี 2562 ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่มีมูลค่าสูงถึง 3.3-3.5 หมื่นล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 2562) จากยอดสั่งซื้อ 20 ล้านออเดอร์ ซึ่งก่อให้เกิดขยะโดยเฉพาะขยะพลาสติกสูงถึง 140 ล้านชิ้น
โดยประมาณการจากข้อมูลที่ระบุว่า การสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แต่ละครั้งสร้างขยะ 7 ชิ้น ได้แก่ กล่องอาหาร ถุงใส่น้ำจิ้ม ช้อนพลาสติก ส้อมพลาสติก ถุงใส่ช้อนส้อม ถุงน้ำซุป และถุงพลาสติกหูหิ้วสำหรับใส่อาหารทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีการคาดว่าปริมาณขยะเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นเท่าตัว (วิจารย์ สิมาฉายา 2563) ซึ่งหมายความว่าในช่วงโควิด-19 คาดว่าขยะพลาสติกจากฟู้ดเดลิเวอรี่มีปริมาณสูงถึง 280 ล้านชิ้น
คนไทยทิ้งขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่แบบไม่มีการคัดแยก
ปัญหาสำคัญที่เกิดจากขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่เหล่านี้คือประชาชนส่วนใหญ่ทิ้งเศษอาหารปะปนมากับขยะพลาสติก ไม่มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น การขาดความตระหนักรู้ว่าควรคัดแยกอย่างไร การนิยมความสะดวกสบายจากการที่ไม่ต้องเก็บล้าง และความกังวลว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หากไปสัมผัสภาชนะหรือช้อนส้อมของผู้ที่ติดเชื้อ เป็นต้น เนื่องด้วยขยะพลาสติกเหล่านี้ปนเปื้อนเศษอาหาร จึงไม่สามารถนำไปรีไซเคิล แปรรูปเป็นพลังงาน หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่า (Upcycle) ตามแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องนำขยะพลาสติกที่ปนเปื้อนเหล่านี้ไปกำจัดโดยการเทกองหรือฝังกลบเช่นที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มภาระให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขยะเหล่านี้หากจัดการไม่ถูกต้อง อาจรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม เช่น แม่น้ำ ทะเล ฯลฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลได้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การดำเนินโครงการหรือ Initiative ต่างๆ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ต้องเดินถอยหลัง
สิงคโปร์และเกาหลีใต้ส่งเสริมการลดขยะพลาสติกจากธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่
เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจากบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ Food Panda ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ในประเทศสิงคโปร์เริ่มงดให้บริการชุดช้อนส้อมพลาสติกตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งสามารถช่วยลดขยะที่เกิดจากช้อนและส้อมพลาสติกได้ถึง 250,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าถึง 100,000 ดอลล่าร์สิงคโปร์
สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ภาครัฐมีนโยบายด้านการจัดการขยะจากบริการฟู้ดเดลิเวอรี่อย่างเข้มข้น โดยผลักดันให้เกิดการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่าง 3 ฝ่าย ได้แก่ รัฐบาลเกาหลีใต้ ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันและร้านอาหารที่เข้าร่วมในเครือข่ายฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยงดใช้บรรจุภัณฑ์ที่ซ้อนกันสองชั้น งดให้บริการช้อนและส้อมพลาสติก ใช้กล่องกระดาษในการบรรจุอาหารแทนกล่องพลาสติก ใช้ถุงเก็บความเย็นที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนชาวเกาหลีใต้คัดแยกขยะพลาสติกอย่างถูกวิธี
ฟู้ดเดลิเวอรี่และร้านอาหารไทยช่วยลดขยะพลาสติก
ผู้ประกอบการฟู้ดเดลิเวอรี่ในประเทศไทย เช่น Grab Food ได้ช่วยลดขยะพลาสติกโดยเพิ่มตัวเลือก (Feature) ในแอปพลิเคชันของ Grab ให้ลูกค้าสามารถกดเลือกรับหรือไม่รับช้อน ส้อม และมีดพลาสติกเมื่อสั่งอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้ร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ถุงกระดาษเพื่อทดแทนถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
นอกจากนี้ LINE MAN ประเทศไทยได้ประกาศร่วมรณรงค์ลดการใช้พลาสติกในการส่งอาหารร่วมกับพาร์ทเนอร์ร้านอาหารดัง โดยพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีตัวเลือกสำหรับไม่รับช้อนส้อมพลาสติกหรือถุงพลาสติก ซึ่งจะเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคม 2563
สำหรับแนวทางของธุรกิจร้านอาหาร ร้านอาหารในเครือฟู้ดแพชชั่น ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า จุ่มแซ่บฮัท ฌานา สเปซคิว และเรดซัน ได้นำเอาแนวคิด Wasteless Delivery มาใช้ในการให้บริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน โดยเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้จากพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastics) เป็นภาชนะแบบย่อยสลายได้ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการผลิตและออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากชานอ้อยซึ่งสามารถย่อยสลายได้ภายใน 45 วัน และถุงพลาสติกคุณภาพสูงพิเศษที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลที่มีความหนาถึง 5 เท่า ในการให้บริการจัดส่งอาหารเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถนำถุงพลาสติกมาหมุนเวียนใช้ซ้ำได้มากกว่า 20 ครั้ง
โดยการดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้ 1.2 ล้านชิ้นในปี 2563
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือการสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับการทิ้งภาชนะหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว โดยผู้บริโภคไม่ควรทิ้งภาชนะเหล่านี้ปะปนกับเศษอาหารและไม่ควรใส่ภาชนะเหล่านี้ในถุงพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้เมื่อนำไปทิ้ง เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการจัดการภาชนะที่ใช้แล้วเหล่านี้
สตาร์ทอัพสหรัฐอเมริกาให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แบบไร้ขยะ
DeliverZero ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกานำแนวคิดการให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แบบไร้ขยะมาใช้ โดยใช้ภาชนะบรรจุอาหารแบบที่สามารถใช้งานซ้ำได้มาใช้แทนภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เนื่องจากเมืองนิวยอร์กมีการประกาศห้ามใช้กล่องพลาสติกโพลีสไตรีนแบบใช้แล้วทิ้งตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
โดยธุรกิจที่ฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับมากกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ โดยภาชนะของ DeliverZero ผลิตจากโพลีโพรพีลีนซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีความทนทานสูง สามารถใช้งานซ้ำได้มากกว่า 1,000 ครั้ง ปราศจากพลาสติก BPA ปลอดภัยสำหรับใช้กับเตาไมโครเวฟและเครื่องล้างจาน รวมถึงผ่านการรับรองจาก NSF International โดย DeliverZero ไม่คิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการสั่งอาหาร แต่ผู้บริโภคต้องจ่ายค่ามัดจำ (Deposit) จำนวน 2 เหรียญสหรัฐ ในแอพพลิเคชันของ DeliverZero สำหรับค่าภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และผู้บริโภคจะได้รับเงินมัดจำคืนเมื่อส่งคืนภาชนะภายใน 6 สัปดาห์ โดยสามารถส่งคืนได้ 2 ช่องทาง คือ มอบให้พนักงานส่งอาหารในการสั่งอาหารครั้งถัดไปหรือนัดหมายเวลารับกล่องข้าวผ่านทางแอพพลิเคชันของ DeliverZero
ดังนั้น การให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แบบไร้ขยะอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหลังเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
แนวทางจัดการขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่สำหรับประเทศไทย
ในประเทศไทยเริ่มมีบริการฟู้ดเดลิเวอรี่แบบนำภาชนะที่ใช้ซ้ำได้แล้ว เช่น Indy Dish2 (แต่ปิดให้บริการชั่วคราวในช่วงโควิด-19 เพราะบริษัทกังวลเรื่องความปลอดภัยของพนักงาน) ซึ่งมีรูปแบบการให้บริการเหมือนกับ DeliverZero ข้างต้น โดยร่วมมือกับร้านอาหารบางร้านในการใช้กล่องบรรจุอาหารที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ โดยผู้บริโภคจะต้องจ่ายค่ามัดจำกล่องอาหาร 100 บาทต่อครั้ง และส่งคืนกล่องที่ทำความสะอาดแล้วให้กับทาง Indy Dish ภายใน 7 วัน โดยทาง Indy Dish จะนำกล่องอาหารนั้นไปฆ่าเชื้อซ้ำตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำกลับมาให้บริการต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่ได้โดยใช้ 2 แนวทาง คือ “ลด” และ “คัดแยก”
สำหรับแนวทางที่หนึ่ง “ลด” คือประชาชนในฐานะผู้บริโภคสามารถช่วยลดขยะพลาสติกโดยการปฏิเสธที่จะรับช้อนส้อม หรือหลอดพลาสติกเวลาสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน โดยหันมาใช้อุปกรณ์ที่สามารถใช้ซ้ำได้แทน โดยผู้ประกอบการธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ควรอำนวยความสะดวกโดยการเพิ่มทางเลือกในการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน โดยเปิดให้ผู้สั่งอาหารสามารถระบุว่าจะรับหรือไม่รับช้อน ส้อมหรือหลอดพลาสติก หรือสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ
สำหรับแนวทางที่สอง ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์หรือภาชนะพลาสติกได้ สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรทำคือการ “คัดแยก” บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้แล้ว โดยแยกขยะประเภทเศษอาหารออกไป ล้างทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงรวบรวมขยะพลาสติกเหล่านี้ไปทิ้งในจุด Drop-off point สำหรับขยะพลาสติก เพื่อเข้าร่วมโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” ซึ่งการคัดแยกดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ถูกส่งไปฝังกลบและเพิ่มการนำพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ผ่านกระบวนการ Recycle หรือ Upcycle ของบริษัทเอกชน และเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สามารถเกิดขึ้นได้จริง
โครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน”
ปัจจุบัน โครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” รับขยะพลาสติก 2 ประเภท คือ พลาสติกยืดและพลาสติกแข็งที่ผ่านการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วจากประชาชน ตัวอย่างพลาสติกยืด ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงขนมปัง ถุงน้ำตาลทราย ฯลฯ และตัวอย่างของพลาสติกแข็ง ได้แก่ แก้วกาแฟ กล่องใส่อาหารเดลิเวอรี่ ฯลฯ โดยปัจจุบันมีจุด Drop-off Point จำนวน 10 แห่งบนถนนสุขุมวิท จังหวัดกรุงเทพมหานคร เช่น Singha Complex ศูนย์การค้า The Emporium ร้านเทสโก้-โลตัส สาขาอ่อนนุช เป็นต้น และมีการให้แรงจูงใจกับประชาชนโดยใช้แอปพลิเคชัน ECOLIFE ในการสะสมแต้มเพื่อนำไปแลกของสมนาคุณต่าง ๆ
อีกทางเลือกหนึ่งในการใช้ประโยชน์ขยะพลาสติกจากฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ผ่านการทำความสะอาดแล้ว คือการนำขยะพลาสติกเหล่านี้ไปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในเตาผลิตปูนซีเมนต์ได้อีกด้วย ดังเช่น บริษัท N15 เทคโนโลยีในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ได้ดำเนินการอยู่3 ซึ่งทางเลือกนี้สามารถรับขยะพลาสติก รวมถึงขยะประเภทอื่น ๆ ได้หลากหลายชนิด จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดการกับขยะพลาสติกชนิดที่ไม่สามารถไปรีไซเคิลต่อได้
จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าการดำเนินการตามแนวทางที่สองนั้น จะก่อให้เกิดต้นทุนต่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เพราะต้องจัดการคัดแยก ทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงการรวบรวมบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งไปยังจุดรับขยะ ซึ่งเมื่อคิดคำนวณค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นเทียบกับค่าธรรมเนียมการเก็บขยะมูลฝอยของกรุงเทพมหานครแล้ว ถือว่าแนวทางการคัดแยกขยะบรรจุภัณฑ์ส่งไปยังจุดรวบรวมนั้นมีต้นทุนสูงกว่าการนำไปทิ้งรวมกับขยะอื่น ๆ
ดังนั้น ข้อเสนอแนะด้านนโยบายเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคร่วมกันคัดแยกขยะบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งต่อไปยังจุดรับที่เหมาะสม ต้องประกอบด้วยการดำเนินงาน 2 ด้าน ได้แก่
1. การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ถึงวิธีการคัดแยกขยะที่ถูกต้อง เช่น ขยะชนิดใดรีไซเคิลได้บ้าง มีวิธีการสังเกตอย่างไร ต้องทำความสะอาดอย่างไร และส่งไปจัดการต่อได้ที่ใดบ้าง โดยหน่วยงานภาครัฐที่ควรเข้ามารับผิดชอบเรื่องการประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูล และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการคัดแยกขยะที่ถูกวิธีและการจัดการกับขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้ว ได้แก่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
2. ควรมีการเพิ่มจุด drop off point สำหรับขยะบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ประเภทต่าง ๆ ให้ทั่วถึงทุกพื้นที่เพื่อลดต้นทุนของการคัดแยกและส่งต่อขยะบรรจุภัณฑ์ให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อให้โครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” หรือการส่งต่อไปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหิน โดยทางกรุงเทพมหานครควรต่อยอดจากการดำเนินงานของภาคเอกชนที่ให้บริการจุด drop off point จำนวน 10 จุด บนถนนสุขุมวิท โดยเพิ่มจุด drop off point ให้ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพมหานครมากขึ้น สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจัดให้มีจุด drop off point สำหรับรับขยะพลาสติกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถขยายผลโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่า ปัญหาขยะพลาสติกยังคงเป็นเรื่องใกล้ตัว ยิ่งในวิกฤตโควิด-19 ที่คนส่วนใหญ่หันมาใช้บริการจากฟู้ดเดลิเวอรี่มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดขยะพลาสติกจำนวนมหาศาล ดังนั้นการปรับแนวคิดให้อิ่มท้องโดยไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนัก
Mr.Yody 👹 ล้างพลาสติกกล่องใส่อาหาร นำมาตากให้แห้งเก็บรวบรวมใส่ถุงไว้แล้วเอาไปทิ้งไว้ที่จุด Drop off ถึงมันจะยุ่งยากแต่ช่วยกันเพื่ออนาคตของลูกหลานครับ
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.18 น.
S. โลกสวยกันชิบหาย
ติดไวรัสตาย กับ ขยะ เลือกยากจัง
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.32 น.
Pete’ ก็ทำให้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายง่ายๆสิ จะให้ประชาชนทำไงล่ะ??
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.43 น.
ตรณทรรศ จ่าหัวว่าจากฟู้ดเดลิเวอรี่งั้น จากผู้บริโภคสั่งผ่านฟู้ดฯต่างหากครับ
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.55 น.
เติมวัน จั่วหัวแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ขยะเกิดจากร้านอาหารกับผู้บริโภค การขนส่งไม่ได้ก่อให้เกิดขยะ
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.45 น.
ดูทั้งหมด