นอกจากหลายเที่ยวบินทั่วโลกจะต้องหยุดบินชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์จนบางสายการบินแบกรับต้นทุนไม่ไหวต้องยื่นล้มละลายแล้ว ในอนาคตการเดินทางด้วยเครื่องบินก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในแง่ของผู้โดยสารและสายการบินเอง
นอกจากมาตรการรักษาสุขอนามัย อาทิ การล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย การตรวจวัดอุณหภูมิที่เข้มงวดขึ้นแล้ว สายการบินยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ด้วยการไม่จำหน่ายตั๋วที่นั่งตรงกลาง และอาจจะต้องปล่อยที่นั่ง 3 แถวสุดท้ายว่างไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินกลางไฟลท์ด้วย
สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เผยว่า มาตรการ social distancing ส่งผลกระทบกับรายได้ของสายการบินโดยตรง เนื่องจากสายการบินต้องลดจำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวเหลือเพียง 62% ของที่นั่งทั้งหมด ซึ่งต่ำกว่าจุดคุ้มทุนเฉลี่ยที่ต้องขายที่นั่งให้ได้อย่างน้อย 77%
เมื่อขายตั๋วได้น้อยลงราคาต่อที่นั่งย่อมต้องสูงขึ้น
IATA เตือนว่า มาตรการ social distancing จะทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินสูงขึ้น 43-54% เพื่อให้สายการบินมีรายได้คุ้มทุน
ขณะที่ Forbes ระบุว่า ผู้โดยสารต้องควักเงินจ่ายค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 เท่า โดยเที่ยวบินไปกลับจากเมืองแอตแลนตาของสหรัฐไปยังกรุงปารีสของฝรั่งเศสในชั้นประหยัดช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ของสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์สสนนราคาอยู่ที่ 2,126 เหรียญสหรัฐ หรือ 67,798 บาท ส่วนตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสเส้นทางเดียวกันอยู่ที่ 7,085 เหรียญสหรัฐ หรือ 225,940 บาท
เดลต้าอาจจะชาร์จราคาสูงกว่าสายการบินอื่นเล็กน้อย เพราะเที่ยวบินไปกลับจากปารีส-ลอสแองเจลิสตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. เป็นต้นไปของสายการบินลุฟท์ฮันซ่าสนนราคาอยู่ที่ 970 เหรียญสหรัฐ หรือ 30,933 บาทสำหรับชั้นประหยัด และ 1,330 เหรียญสหรัฐ หรือ 42,413 บาทสำหรับชั้นประหยัดพรีเมี่ยม
ราคาตั๋วที่แตกต่างกันของสองสายการบินนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าส่วนหนึ่งราคาตั๋วขึ้นอยู่กับสายการบินที่ผู้โดยสารเลือกใช้บริการ
ช่วงเดือน มี.ค.ที่ Covid-19 เริ่มระบาดในยุโรป สายการบินเดลต้ารวมทั้งสายการบินเจ้าอื่นขายตั๋วเพียง 285 เหรียญสหรัฐ หรือ 9,089 บาท แต่ตอนนี้ค่าตั๋วเดลต้าพุ่งขึ้นกว่า 600%
ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากภาระค่าใช้จ่ายที่สายการบินต้องแบกรับจากการปฏิบัติตตามาตรการ social distancing เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงค่าดำเนินการเพิ่มเติมของสนามบินเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส
เมื่อสนามบินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ต้นทุนเหล่านี้ก็ถูกผลักมายังสายการบิน โดยที่สายการบินก็บวกเพิ่มเอาจากผู้โดยสารตามหลักการค้าขายทั่วไป
ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นสองเท่าอาจจะดูมากแล้ว แต่สายการบินควอนตัสของออสเตรเลียบอกว่าราคาตั๋วเครื่องบินอาจจะต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 9 เท่า เพราะหากทางสายการบินปฏิบัติตามมาตรการ social distancing เครื่องบินที่มีที่นั่ง 128 ที่ จะขายตั๋วโดยสารได้เพียง 22 ที่เท่านั้น
ขณะที่เว็บไซต์ The Indian Express รายนงานว่า กระทรวงการบินพลเรือนอินเดียประกาศว่าจะจำกัดเพดานราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางในประเทศเป็นเวลา 3 เดือน โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลาการบินในการแบ่งกลุ่ม เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าตั๋วเครื่องบินจะราคาสูงขึ้น
ด้วยเหตุนี้หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ราคาตั๋วเครื่องบินจากเดลีไปยังมุมไบอาจสูงถึง 10,000 รูปี หรือ 4,212 บาท จากเดิมอยู่ที่ 5,000 รูปี หรือ 2,106 บาท
แต่หากราคาสูงเกินไปผู้โดยสารอาจจะยังไม่เดินทาง หรือเลือกเดินทางด้วยวิธีอื่นหากเป็นเส้นทางในประเทศ ในขณะที่สายการบินต้องการรายได้จากผู้โดยสารมากที่สุด
AUM..🍁 ให้มันเจ้งต่อไปไม่ต้องไปนั่งมัน..ดูสิมันจะอยู่กันได้มั๊ย เข้าใจองค์กรแต่องค์กรก็ต้องเข้าใจผู้บริโภคด้วยเช่นกัน คงไม่มีใครอยากควักเงินในกระเป๋าหากของสิ่งนั้นราคาแพงเกิน ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกได้นะคะ ยกตัวอย่างหน้ากากอนามัยกับไข่ไก่ สุดท้ายพ่อค้าแม่ค้าร้องอวดครวญเพราะขายไม่ออก นี่แค่ตัวอย่าง หน้ากากแพงคนก็หันมาใช้หน้ากากผ้าเพราะราคาถูก ไข่แพงคนก็แค่เลิกกิน ตั๋วเครื่องบินแพงคนก็แค่เลิกนั่งคนอาจจะหาช่องทางอื่นในการเดินทาง หรือก็งดเดินทาง แค่นี้แหละจบ
28 พ.ค. 2563 เวลา 04.33 น.
ยุทธกร แล้วแต่555 บริการก็ห่วยแตก ไม่รู้จะรอดไม่รอดดันปล่อยความโง่ออกมาอีก
28 พ.ค. 2563 เวลา 03.41 น.
บินในประเทศอาจจะเลือกทางอื่นได้ ส่วนต่างประเทศ คนอาจจะเที่ยวเมืองนอกน้อยลง ถ้าแพงแบบนี้ ปกติไปเมืองนอกก็แพงอยู่แล้ว ใครที่ไม่เคยไปเที่ยวเมืองนอกอาจจะไปยากขึ้นกว่าเดิม
28 พ.ค. 2563 เวลา 03.12 น.
Daeng😇 ขว้างหินถามทางนี่หว่า ขึ้นค่าโดยสารไปเถอะแล้วจะรู้สึก
28 พ.ค. 2563 เวลา 01.55 น.
ถ้าเดินทางในประเทศ..เอารถส่วนตัวไปดีกว่า.
28 พ.ค. 2563 เวลา 01.43 น.
ดูทั้งหมด