วันนี้( 19 ก.พ.3) การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย “รุนแรง” กว่าที่หลาย สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจได้คาดการณ์เอาไว้ โดยเฉพาะหลังจากที่ทางการจีนมีคำสั่งให้บริษัททัวร์ “หยุดขาย” ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ที่พักอาศัยต่างๆ รวมไปถึงการห้ามนักท่องเที่ยวกลุ่มเสี่ยงเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว
คำสั่งของทางการจีนในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยโดยตรง เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวจีน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน มีคำสั่งเพิ่มความระมัดระวังการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยทยอยเพิ่มขึ้น แม้ในจำนวนนี้มีที่รักษาหายจนและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
สถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวจีนวูบหายไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ธุรกิจท่องเที่ยว” ซึ่งเวลานี้ผลกระทบเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มเห็นการ “ยกเลิก” การจองห้องพักตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในหลายๆ จังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา เชียงใหม่ หรือแม้แต่ใน กรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว ยังเชื่อมโยงไปธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย เช่น ร้านอาหาร สปา หรือแม้แต่ธุรกิจเดินรถที่รับนักท่องเที่ยว ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
การแพร่ระบาดของเชื้อโควดิด-19 ครั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ถือเป็นเหตุการณ์ที่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงจรภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคบริการที่มีซัพพลายเชนมากกว่า 50,000 บริษัท และบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกว่า 4 ล้านคน (จากสำนักงานสถิติ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ) ได้รับผลกระทบทันที
ขณะที่ ข้อมูลจากการสำรวจแรงงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า “ภาคการท่องเที่ยว” มีสัดส่วนการจ้างงานที่สูงถึง 20% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือประมาณ 7.7 ล้านคน เป็นแรงงานในภาคการท่องเที่ยว 5 แสนคน และแรงงานที่อยู่ในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว 7.2 ล้านคน และภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนต่อ “จีดีพี” สูงถึงประมาณ 20% ดังนั้นผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยว จึงส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
แต่ประเด็นที่น่าห่วงมากที่สุดในขณะนี้ คือ ปัญหา “สภาพคล่อง” ของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไว้รัสโควิด-19 “ลากยาว” เกินกว่าเดือนมี.ค.หรือเม.ย.ของปีนี้ และภาคท่องเที่ยวไม่รับการช่วยเหลือหรือดูแลให้ดีอาจรุนแรงถึงขั้นเป็น “วิกฤติสภาพคล่อง" ถ้าเป็นเช่นนั้นหลายบริษัทคงต้อง “ปิดกิจการ” ลามไปสู่ปัญหา “การเลิกจ้าง” กระทบถึง “ภาคการบริโภค” และลามไปสู่ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ในท้ายที่สุด
ทั้งนี้ หากเจาะลึกธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุดพบว่า 4 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง โดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาถึงผลกระทบเชิงลึกจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน พบว่า ธุรกิจค้าปลีก จะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท
จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท , ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต , ธุรกิจขายเครื่องสำอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ,กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่นของที่ระลึก ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการ ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538 ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรีเชียงใหม่ และภูเก็ต
ส่วนธุรกิจที่พักแรม/โรงแรม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 5,622ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาทโดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้าน Street Food อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ และธุรกิจขนส่งคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนำเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742 ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
ผลกระทบดังกล่าว ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ต้องเรียก “ประชุมด่วน” ผู้บริหารจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงหน่วยงานภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย เพื่อระดมสมอง เร่งหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบที่ได้รับผลกระทบเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข้อสรุปเบื้องต้นที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น “2 มาตรการใหญ่” คือ “มาตรการด้านภาษี” และ “มาตรการด้านการเงิน”
โดย “มาตรการด้านภาษี” เน้นเรื่องการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว เพื่อชะลอการเลิกจ้างแรงงาน รวมไปถึงการ “จูงใจ” ให้คนไทยหันมาเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น อาจกำหนดให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี หากเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา สามารถนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นให้ลูกหลานมาหักลดหย่อนภาษีได้
ส่วน “มาตรการด้านการเงิน” ได้ขอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ)ไปหารือ กับสมาคมธนาคารไทยว่า จะมีแนวทางในการออกมาตรการผ่อนปรนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้อย่างไรบ้าง รวมไปถึงการพิจารณา “ลดดอกเบี้ย” บัตรเครดิตให้กับแรงงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระในส่วนนี้
ด้าน ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ได้ขอให้แบงก์ชาติไปดูเพิ่มเติมว่า มีแนวทางใดบ้างที่สามารถเข้ามาช่วยดูแลผู้ประกอบการกลุ่มนี้เพิ่มเติม โดยหนึ่งในนั้น คือ การขอให้ไปศึกษาความเป็นไปได้การออกโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ “ซอฟท์โลน” รวมทั้งขอให้ แบงก์ชาติช่วยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในบ้างเรื่อง เพื่อเอื้อให้ธนาคารพาณิชย์นำสภาพคล่องออกมาช่วยเหลือภาคธุรกิจมากขึ้น
ส่วนข้อสรุปและแนวทางการช่วยเหลือต่างๆ รัฐบาล จะเร่งทำการรวบรวมเพื่อจัดทำเป็น “มาตรการชุดใหญ่” ให้แล้วเสร็จและส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติภายในเดือนมี.ค.นี้ โดยมั่นใจว่ามาตรการต่างๆ จะสามารถนำมาใช้ได้ก่อนเดือนเม.ย.แน่นอน
หลังจากนี้ต้องติดตามดูว่า “มาตรการชุดใหญ่” ที่รัฐบาลเตรียมผลักดันออกมา เพียงพอที่จะช่วยภาคท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย “รอดพ้น” จากภาวะเศรษฐกิจ “ถดถอย” ได้หรือไม่ สถานการณ์ในคราวนี้จึงนับเป็น “โจทย์หิน” ที่วัดฝีมือรัฐบาล
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
So ก่อนจีนเปิดประเทศ ไทยอยู่กันมาได้อย่างไร
20 ก.พ. 2563 เวลา 04.07 น.
เสือ มันกะต้องหนักแบบนี้อยุ่ล่ะ กูกะงง พวกมึงประเมินความเสียหายตำ่แท้ ดูวี่แวว บ่มีทางเอาไวรัสอยุ่เลย พวกมึงกะเอ้อล่ะเหย คิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ งงใจ รึเอาใจรัฐบาลทหาร กลัว ปชช ตกใจ
19 ก.พ. 2563 เวลา 15.01 น.
แล้วถ้าจีนเขาเป็นปกติ เขาหายแล้วก็ไม่ต้องไปด่าเขาอีกนะ ด่าเขานักหนา ตั้งแง่ชิบหาย พอเขาไม่มา แทบจะตายกันหมด เป็นงี้สักครึ่งปี เงินหมดจะทำไง ไอ้ที่สมัยก่อนอยู่ได้ เพราะยังไม่มีการลงทุนอะไรมาก เดี๋ยวนี้กาาลงทุนขยายตัวแล้ว ถ้าเขาไม่มาก็ตายสิ มันย้อนไปอดีตไม่ได้แล้ว ฝรั่งกับญี่ปุ่นก็ไม่ได้รวยเหมือนสมัยก่อน ขนาดญี่ปึ่นยังต้องพึ่งนททจีน พอจีนไม่มาเขาก็ร้างเหมือนกัน จะมีเงินไรมาเที่ยวเมืองนอกอีก
19 ก.พ. 2563 เวลา 08.49 น.
TA ปรับไม่ทันก้ตายสะ
19 ก.พ. 2563 เวลา 07.23 น.
Nira 🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
🔶🔸🔶ประกาศค่ะ🔶🔸🔶
รับสมัครคนช่วยงานตอบแชทลูกค้าผ่านเฟส/ไลน์
รายได้สัปดาห์ละ 4000-5000 บาท (รับอายุ18-70ปี) #ทำผ่านมือถือได้ #กรุงเทพปริมณฑลรับเป็นพิเศษ
สนใจงานแอด📱LINE ID : @153lawtz (ใส่@ด้วยค่ะ)
🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
19 ก.พ. 2563 เวลา 07.20 น.
ดูทั้งหมด