บันเทิง

ตำรวจเผย มาริโอ้ ให้ปากคำด้วยความกังวล ปมรถหรูสวมทะเบียน ยังไม่พบจงใจซื้อ

The Bangkok Insight
อัพเดต 10 ส.ค. 2566 เวลา 06.46 น. • เผยแพร่ 10 ส.ค. 2566 เวลา 06.04 น. • The Bangkok Insight

มาริโอ้ เมาเร่อ ให้ปากคำด้วยความกังวล ยืนยันบริสุทธิ์ใจไม่รู้เห็น ตำรวจเผยยังไม่พบจงใจซื้อ เอี่ยวขบวนการสวมทะเบียนรถ

กรณีวานนี้ (9 ส.ค.) มาริโอ้ เมาเร่อ เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เพื่อให้ปากคำตามหมายเรียก พร้อมนำเอกสารหลักฐานมาแสดง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพบรายชื่อของ มาริโอ้ เชื่อมโยงกับการครอบครองรถยนต์ที่สวมทะเบียนผิดกฎหมาย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดย มาริโอ้ ให้ปากคำ มีสีหน้าเครียด หลังจากให้ปากคำเสร็จ มาริโอ้ ได้อ่านเอกสารคำให้การและเซ็นเอกสาร ก่อนจะเดินออกจากห้องสอบสวน และไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด เพียงแค่ตอบคำถามระหว่างเดินกลับว่าตนเองมาให้ปากคำในฐานะพยาน และไม่มีความกังวล

ผู้สื่อข่าวก็ถามว่า ทราบที่มาของทะเบียนรถที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ มาริโอ้ ตอบว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการและได้ให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้ว เมื่อถามว่ารถที่ซื้อมาถูกต้องหรือไม่ มาริโอ้บอกว่ารายละเอียดขอให้ถามทางผู้ใหญ่ ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ขณะที่ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. เปิดเผยว่า ในระหว่างสอบปากคำ มาริโอ้ มีความกังวล แต่ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ว่าไม่รู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการแฮกเข้าระบบของกรมการขนส่งทางบกหรือกรณีการซื้อขายรถผิดกฎหมาย โดย มาริโอ้ ได้นำพยานเอกสารเป็นสำเนาสัญญาซื้อขายมามอบให้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็รับฟังไว้เป็นข้อมูล

ซึ่งเมื่อวันก่อน (8 ส.ค.) ก็ได้มีการเรียกสอบพยานทั้งหมด 3 ปาก ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถกับ มาริโอ้ คือ มาริโอ้ และนายก้อง รุ่นพี่ที่ขายรถให้กับมาริโอ้ และพี่ชายของนายก้อง ส่วนความสัมพันธ์นั้น ก่อนหน้านี้ มาริโอ้ เคยซื้อเฟอร์นิเจอร์จากนายก้อง จนมีความสนิทสนมและไว้ใจกัน แต่ไม่เคยซื้อขายรถกันมาก่อน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดยนายก้อง ได้เสนอขายรถ Benz G300 ให้กับมาริโอ้ ในราคา 1,500,000 บาท เมื่อเดือนธันวาคม 2565 โดยยังไม่ได้เห็นรถตัวจริง และมีการทำสัญญาวางมัดจำไว้ 500,000 บาทก่อน โดยมีกำหนดภายใน 60 วัน จะต้องส่งมอบรถแต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่ได้รถ ทางนายก้อง จึงคืนเงินมัดจำให้กับมาริโอ้

ส่วนเล่มทะเบียนนั้น นายก้อง ยังไม่ได้ส่งมอบให้มาริโอ้ เพียงแต่แจ้งว่าเล่มดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถเป็นชื่อมาริโอ้แล้ว มาริโอ้จึงแจ้งให้นายก้องไปดำเนินการทางทะเบียนเปลี่ยนชื่อมาริโอ้ออก ซึ่งถึงตอนนั้นมาริโอ้เองก็ไม่ทราบว่านายก้อง ได้เร่งดำเนินการทางทะเบียนให้แล้วหรือไม่ จนมาทราบภายหลังว่าเล่มทะเบียนไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ เพราะถูกกรมการขนส่งทางบกอายัดเล่มทะเบียนเอาไว้แล้วหลังจากเกิดคดีขึ้น

จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่า มาริโอ้ น่าจะไม่ได้จงใจซื้อรถสวมทะเบียน แต่พนักงานสอบสวนก็จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่ามาริโอ้ไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนาก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งจากการที่พบว่าเล่มทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อของมาริโอ้เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย ทางกรมการขนส่งทางบกจึงยังไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงโอนทะเบียน เพราะต้องตรวจสอบย้อนหลังที่มาว่ามีใครเคยเป็นผู้ครอบครองบ้าง

พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการซื้อรถคันดังกล่าว มาริโอ้ เคยบอกว่า ทั้งตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน เบื้องต้นทราบเพียงว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลรถมาจากต้นขั้ว ซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เมื่อไม่ได้รถรุ่นพี่ก็คืนเงินให้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตน ก่อนซื้อรถทุกครั้งก็จะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีปัญหา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ซื้อรถราคาล้านกว่าบาท เห็นว่ามีเอกสารถูกต้องก็ไม่คิดว่ารถจะมีปัญหาอะไร ทำให้หลังจากนี้จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ รถคันดังกล่าวในราคาตลาดมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านบาท การซื้อขายระหว่างมาริโอ้และนายก้อง อยู่ในราคา 1,500,000 บาทนั้น จะเป็นการขายต่ำกว่าตลาดหรือไม่ ทาง พล.ต.ต.อำนาจ มองว่าเรื่องนี้เป็นความพึงพอใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จึงไม่น่ามีผลอะไรกับทางคดี แต่จะเข้าข่ายเป็นการจดทะเบียนประกอบรถยนต์โบราณหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องขยายผลตรวจสอบจะพยานหลักฐานและจากการให้ปากคำอีกครั้ง

หลังจากนี้ พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูลการให้ปากคำของมาริโอ้ นายก้องและพี่ชายของนายก้อง มาตรวจสอบเปรียบเทียบร่วมกับคำให้การของผู้ครอบครองรถรายอื่น ๆ เพื่อหาความน่าเชื่อถือและวิเคราะห์ขยายผลทางคดีต่อไป ว่าใครมีส่วนรู้ร่วมเห็นกับการกระทำความผิดหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีของมาริโอ้ ว่าจะเข้าข่ายความผิดฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ พล.ต.ต.อำนาจ ระบุว่า ยังไม่เข้าข่าย เพราะมาริโอ้ยืนยันว่าไม่รับรู้มาก่อนว่ารถคันนี้มาจากการกระทำความผิด แต่ยังไงก็ตามทางพนักงานสอบสวนก็ต้องเปรียบเทียบคำให้การของมาริโอ้กับนายก้องและพี่ชายนายก้อง ก่อนจะวิเคราะห์หาความน่าเชื่อถือโดยละเอียดอีกครั้ง

ส่วนเรื่องการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ทางมาริโอ้ได้พูดคุยกับตำรวจเบื้องต้นแล้ว เพราะมาริโอ้เองมองว่า ตนก็เป็นผู้เสียหายที่ซื้อรถแต่ไม่ได้รถ อย่างไรก็ตามมาริโอ้จะประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของมาริโอ้ ส่วนผู้ครอบครองรถรายอื่นยังไม่มีใครประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเช่นกัน

สำหรับกรณีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ตำรวจ บช.สอท. และกรมการขนส่งทางบก ได้เปิดปฏิบัติการพลิกถนนล่ารหัสโจรกรรม จับกุม 2 ตัวการใหญ่ คือ นายเสถียร อายุ 38 ปี และนายศริสร อายุ 44 ปี ที่เจาะระบบกรมการขนส่งทางบก แก้ไขข้อมูลสวมทะเบียนรถ เพื่อให้ข้อมูลในระบบ MDM ของกรมการขนส่งทางบก ตรงกับข้อมูลรถที่ครอบครอง และข้อมูลในเล่มทะเบียนรถ ก่อนออกเล่มทะเบียนใหม่เพื่อนำไปขายต่อให้กับกลุ่มนิยมสะสมรถโบราณ ในราคาเล่มละ 5 แสนบาท ถึง 3 ล้านบาท

จากนั้นได้ขยายผลไปยังบรรดาผู้ซื้อและครอบครองรถยนต์ทั้ง 65 คัน มูลค่า 77 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในทะเบียนรถของกลางที่ยึดมาได้นั้นตรวจพบว่ามี มาริโอ้ เมาเร่อ ดารานักแสดงชื่อดัง มีชื่อครอบครองทะเบียนรถ Benz G300 สีขาวพนักงานสอบสวน บช.สอท. จึงได้ออกหมายเรียกให้นายมาริโอ้ มาให้ปากคำในฐานะพยาน

ขอบคุณที่มา ข่าวช่อง 3

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ