“อภิสิทธิ์” แนะรัฐบาลคุมเข้มระยะห่างทางสังคม พ่วงเพิ่มชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ให้มากพอ แนะ โยกงบประมาณปี 63 มาสู้วิกฤติ ชงจับมือฝ่ายค้านเร่งแก้ปัญหา กู้ศรัทธาประชาชน
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 2 เม.ย. 2563 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อคิดเกี่ยวกับวิกฤติโควิด-19 ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก Abhisit Vejjajiva ว่า มีหลายคนอยากให้แสดงทัศนะต่อปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้น แต่ที่ผ่านมาหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นในทางสาธารณะ ไม่ใช่เพราะไม่ห่วงใยกับสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่เลือกให้ความเห็นเป็นการส่วนตัวกับหลายฝ่ายที่ประสงค์จะได้รับข้อคิดจากตนเอง ที่สำคัญ เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อนและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังมีจำกัด ทุกฝ่ายจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจความยากลำบากของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ จึงหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาธารณะต่อมาตรการต่างๆ ซึ่งมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เมื่อรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว และดูจะตั้งหลักได้ทั้งในการกำหนดมาตรการต่างๆ รวมถึงการสื่อสารที่เป็นเอกภาพมากขึ้น จึงขอถ่ายทอดความคิดในประเด็นหลักๆ ในภาพรวม 9 ข้อ โดยสรุปดังนี้ ว่า
ตราบใดที่ปัญหาด้านสาธารณสุขไม่คลี่คลายไปอย่างชัดเจน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะผลกระทบต่อฝ่ายต่างๆ และการขาดความเชื่อมั่นจะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ได้ ในทางกลับกันหากไม่มีมาตรการทางด้านเศรษฐกิจรองรับที่ดีพอปัญหาด้านสาธารณสุขก็จะจัดการไม่ได้ การทำงานของทั้งฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายสาธารณสุขจึงต้องประสานกันอย่างใกล้ชิดโดยมีเป้าหมายเดียว คือ การสร้างสุขภาวะให้กับสังคมและประชาชน ซึ่งสถานการณ์ของไทยในขนาดนี้คล้ายๆ กับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน คือ ไม่เลวร้ายเท่ากับจีนเมื่อต้นปี หรือโลกตะวันตกในปัจจุบัน เป็นผลมาจากความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ขณะเดียวกันเราก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการติดเชื้อที่เติบโตขึ้นประมาณวันละร้อยกว่าคนได้ นอกจากนี้ มีข้อเท็จจริงที่เราต้องตระหนักคือจำนวนคนที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ในไทยถือว่าน้อยมากและยังมียอดสะสมจำนวนที่รอผลการตรวจมากพอสมควร การที่เราเลือกตรวจเฉพาะผู้ที่มีอาการ บ่งบอกว่าเราน่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการและไม่ถูกยืนยันเป็นผู้ติดเชื้อประมาณ 4 เท่าของจำนวนที่รายงานในปัจจุบัน ซึ่งคนเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้
ดังนั้น มาตรการจัดระยะห่างทางสังคมจึงยังต้องดำเนินต่อไปด้วยความเข้มงวดกวดขันมากขึ้น ขณะที่การลงทุนที่เร่งด่วนที่สุดคือ ความพร้อมของระบบสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมห้องดูแลผู้ป่วยหนัก เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เวชภัณฑ์ สถานที่กักกันสำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือผู้ที่ต้องได้รับการเฝ้าดูอาการ บุคลากรและอาสาสมัครที่สามารถสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ โดยการยกเว้นภาษี เร่งรัดขั้นตอนการนำเข้าและการอนุญาตหรือแม้แต่สร้างมาตรการจูงใจให้เกิดการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น และที่เร่งด่วนที่สุดคือ “การจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ให้มากพอที่จะนำไปสู่การสุ่มตรวจประชากรที่ไม่มีอาการได้อย่างกว้างขวาง” จะให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลับไปสู่ภาวะปกติจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปสู่การแยกตัวของผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องทุ่มกำลังทางด้านงบประมาณไปสู่การช่วยเหลือให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถที่จะอยู่รอดได้ทางเศรษฐกิจ มาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันต้องให้มั่นใจว่าเกิดความครอบคลุม น่าจะเริ่มปรับระบบการช่วยเหลือทั้งหมดเข้าสู่หลักการการประกันรายได้ให้คนไทยทุกคนเพื่อให้การสนับสนุนของรัฐบาลนั้นไม่ลักลั่น ตกหล่น หรือซ้ำซ้อน นอกจากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนแล้วยังต้องมีเป้าหมายในการช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอื่นๆ เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้
“สำหรับแหล่งเงินที่จะต้องใช้ ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลไทยมีความเข้มแข็งเพียงพอ จึงควรเร่งการสร้างความมั่นใจด้วยการแสดงแหล่งที่มาของเงิน เริ่มต้นจากการปรับลดงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ทั้งหมดที่ไม่สามารถใช้ได้ตามปกติในช่วง 6 เดือนที่เหลือ แล้วออกกฎหมายโอนมาเป็นงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติโควิด-19 เป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากจะได้เงินหลายแสนล้านบาทจากตรงนี้แล้วยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนมองเห็นว่าทุกกระทรวงและหน่วยราชการตระหนักถึงความจำเป็นในการบริหารเงินในยามวิกฤติได้เป็นอย่างดี หากจำนวนเงินไม่พอจึงจะใช้วิธีการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้มากพอสมควร”
นอกจากนี้ การดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณและการกู้เงินนั้น หากนายกรัฐมนตรีจะเชิญผู้นำฝ่ายค้านปรึกษาหารือเป็นพิเศษและสามารถนำไปสู่ความร่วมมือของรัฐบาลและฝ่ายค้านในการอนุมัติเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากจะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาแล้วยังจะช่วยให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบการเมืองการบริหารของประเทศมากขึ้น แม้ช่วงนี้จะมีอำนาจพิเศษแต่ก็ต้องไม่ปิดกั้นการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน ควรทำทุกเรื่องอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส
“เมื่อวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป กลไกและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนคงไม่กลับไปเหมือนเดิม รัฐบาลควรจัดให้มีการศึกษาถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศไทยและคนไทยต่อไป ท้ายที่สุดนี้ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ ที่ต้องเสียสละและเผชิญความเสี่ยงเพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้ และหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจเพื่อให้ประเทศของเราฝันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้”.
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- สหรัฐฯเจ๋ง ใช้ชุดตรวจหาโควิด-19 รู้ผลใน 45 นาที
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาชุดตรวจด่วนโควิด-19
- ชุดตรวจโควิด-19 จากเลือดผู้ป่วย
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath
Inter translation ช่วยติวท่านจุริน..ด้วยนะ ไร้ผลงาน คุมราคาสินค้าไม่ได้ สินค้าขาดตลาด
02 เม.ย. 2563 เวลา 18.10 น.
สอนมันหน่อย...
02 เม.ย. 2563 เวลา 15.29 น.
จิระพงษ์ ไม่ต้องบอกหรอก เค้าทำอยู่ อยู่เฉยๆๆ
03 เม.ย. 2563 เวลา 00.19 น.
Prateep กู้ศรัทธายากกว่าสลิ่มกู้ชาติอีก
03 เม.ย. 2563 เวลา 00.47 น.
คนเคยเป้นนายยกย่อมรู้ว่างบอะไรทื่มีสมารถนำมาใช้ในยามที่เจอวิกฤติ แต่สายเขียวฟังใครที่ไหนละ ประชาชน หมดศรัทธา ถ้าเป้นท่านทักษิณประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข คนในยุคทักษิณ ใครก็ยอมรับความสามารถของท่าน ยิ่งคนจนรากหญ้าใครๆ ก็ต้องการ ไห้ท่านกลับมาพัฒนาประเทศ ท่านวางแผนประชาชนโดยไม่ต้องร้องขอ เสียดายที่ต้องเจอโจร แย่งอำนาจ แบบหน้าตาเฉย
02 เม.ย. 2563 เวลา 13.45 น.
ดูทั้งหมด