เกษตรดักคอขาโวยเอกชนนำเข้ามะพร้าว ภายใต้กรอบดับบลิวทีโอ 54% ต้องปฏิบัติตามกฎสากลโลก ผวาเข้มมากโรงงานกะทิย้ายฐานหนีไปอินโด-เวียดนาม หวั่นแรงงานตกงานอื้อ ชิ่งกระทบชาวสวนหนัก สศก.สั่งเกษตรจังหวัดทำข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน เตรียมเข้ารัฐบาลใหม่สานต่อ
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ผ่านมาในครึ่งปี 2562 ยังไม่มีการเปิดนำเข้าภายใต้กรอบอาฟต้า ยกเว้นกรอบดับบลิวทีโอ (นอกโควตา) จะต้องเสียภาษี 54% ซึ่งจะให้นำเข้าเลยคงเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาตัวเลข ตั้งแต่เดือนมราคม ถึงวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ มีการนำเข้าไม่ถึง 3 หมื่นตัน หากเทียบในเวลาเดียวกันปีที่แล้วนำเข้ากว่าแสนตันน้อยมากและการที่ได้คืนภาษีอย่างน้อย 6เดือนในแง่ธุรกิจไม่คุ้ม
“ยืนยันว่าไทยผลผลิตไม่เพียงพอ ยิ่งอุตสาหกรรมขยายตัวเป็นครัวของโลกส่งออกสำเร็จรูปคนรับประทานอาหารไทยมากขึ้นก็ยิ่งทำให้น้ำกะทิขายเพิ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่งก็อยากให้เกษตรกรพบกันคนละครึ่งต้องช่วยระดับหนึ่งด้วยไม่ใช่คิดจะเอาแต่ราคา ขณะนี้อินโดนีเซียก็จ้องอยู่ เพราะการผลิตกะทิเทคโนโลยีไม่ได้สูง ย้ายฐานการผลิตง่ายจะตาย คือไม่อยากให้โรงงานที่ทำผลิตภัณฑ์แปรรูปย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นเราก็ต้องทำเกิดความสมดุล หากโรงงานย้ายไปไม่มีโรงงานแล้วใครจะซื้อสถานการณ์จะยิ่งแย่กว่าหรือไม่”
นางสาวดุจเดือน กล่าวว่า ปีนี้ผลผลิตเพิ่ม จาก 8.5 แสนตัน เป็น 8.7 แสนตัน มากกว่าแค่ 2 หมื่นตัน แต่ก็มีการหารือในเรื่องมาตรการปกป้องพิเศษโดยพิจารณาจากข้อมูล 3 ปีย้อนหลังว่ามีปริมาณการนำเข้าเท่าไหร่ โดยเฉลี่ย 3 ปีจากเดิมจะใช้ตัวเลขปี 2557-2559 แต่ว่าตอนนี้ตัวเลขปี 2561 ออกแล้วจะใช้ตัวเลข ปี 2558-2561 ตัดปี 60 ทิ้งเพราะปีก้าวกระโดด ซึ่งตามหลักการสากลใช้ 3 ปีสุดท้าย
ยกเว้นข้อมูลต่ำหรือสูงปกติสามารถตัดออกได้ เพราะหากเกินปริมาณแค่นี้ขึ้นภาษีเป็น 72% จาก 54% ทั้งนี้ในการคำนวณใช้เพดานภาษีบวก เศษ 1 ส่วน 3 บวกไปอีก 18% ตามกฎของดับบลิวทีโอ จะต้องรอเข้า ครม.เห็นชอบ (เกินปริมาณนำเข้าเกินระดับที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ปริมาณ 206,735 แสนตัน) จะต้องเสียภาษีในอัตราเพิ่มขึ้นถือเป็นมาตรการที่เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพของราคามะพร้าว อย่างไรก็ดีเพื่อให้ตัวเลขเป็นปัจจุบันได้ได้สั่งเกษตรจังหวัดเก็บตัวเลขใหม่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่เป็นแหล่งผลิตใหญ่ 40% ขงประเทศภายในสิ้นเดือนนี้คาดว่าจะนำเข้าก่อนประชุมบอร์ดชุดใหญ่ ประมาณเดือน ก.ค. ต้องรอรัฐบาลใหม่
ด้านแหล่งข่าววงการมะพร้าว เผยว่า การนำเข้าในกรอบดับบลิวทีโอ เป็นเวทีการค้าโลก ไปห้ามไม่ได้ แต่มีมาตรการควบคุมดูแล เดิมรัฐบาลปล่อยให้นำเข้าได้ทุกด่านที่มีด่านกักกันพืช แต่ปัจจุบันให้เข้าแค่ 2 ด่าน ก็คือ ด่านท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือกรุงเทพฯเท่านั้น เมื่อนำเข้ามาแล้วก็มีการออกใบขนย้ายจากท่าเรือไปยังปลายทางที่เจ้าของสินค้าต้องการก็คือ การใช้กฎหมายของกรมการค้าภายใน กำกับดูแลการรขนย้าย ซึ่งปีนี้สถานการณ์ราคามะพร้าวเริ่มสูงขึ้นฝ่ายโรงงานกะทิหาซื้อะพร้าวในประเทศที่อ้างว่าซื้อไม่ได้ ฝ่ายเกษตรกรก็อ้างมาก ซี่งเมื่อรับฟังแล้วก็รับได้ทั้งสองด้าน เห็นใจทั้งสองฝ่าย
“มะพร้าว” เป็นพืชที่รอการจำหน่ายอยู่ได้ถึง 2 เดือน เพราะฉะนั้นะพร้าวจะตกอยู่ในมือของล้ง แล้วล้งจะทำหน้าที่อยู่ 2 ส่วนก็คือรวบรวมมะพร้าวจากชาวสวน หากผลสวยก็จะออกไปในรูปจำหน่ายของหัวขูด จะมีแม่ค้ามาซื้อไปขูดขายเป็นกะทิตามตลาดสดหรือตลาดนัด อีกส่วนหนึ่งเป็นลูกที่ไม่สวยแต่เนื้อดีจะกะเทาะเป็นมะพร้าวขาวก็จะเข้าสู่โรงงานกะทิเพื่อผลิตกะทิบรรจุกล่องส่งออกต่างประเทศ ทั้งนี้สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศ เหลือแค่ 35% ส่งออก 65%
ในการส่งออกก็ต้องไปเจอกับคู่แข่ง ก็คือ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เพราะเป็นเรื่องกะทิกล่อง แต่ว่าคนไทยยังครองตลาดได้เพราะยังเก่งในเรื่องของการผลิต ประกอบกับมีโรงงานที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก อย่างไรก็ตามหากสินค้าแพงมากขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องหาซื้อของถูกกว่าทดแทน เพราะโรงงานกีข้อจำกัดเช่นเดียวกันหากซื้อต้นทุนที่แพงากก็ขายสินค้าไม่ได้ หรือขายแล้วขาดทุน หรือไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาก็ต้องชะลอการรับซื้อะพร้าวขาวก็จะกระทบกับมะพร้าวผล ที่อยู่ในมือล้ง ล้งก็เดือดร้อน ล้งก็ต้องไปกดราคา เป็นวงจรเช่นนี้
แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งมะพร้าวที่นำเข้าในประเทศก็มีข้อดี 1.นำวัตถุดิบเข้ามาก็สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการแปรรูป ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาภายในประเทศ 2.เกิดการจ้างงาน คนงานที่ไม่มีทักษะสามารถที่จะเป็นลูกมือสำหรับการทำมะพร้าวขาว คือเอามะพร้าวมากะเทาะเปลือกออก จะได้กิโลกรัมละ 3-3.50 บาท และผู้สูงอายุก็สามารถทำได้ ตัวอย่างแรงงานในจังหวัดประจวบฯ ราว 3,000 คน แล้วถ้าไม่มีมะพร้าวนำเข้ามารายได้กลุ่มนี้ก็จะไม่มี แรงงานนี้ก็มีอยู่หลายพื้นที่ในจังหวัดที่ปลูกมะพร้าว
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การนำเข้ามาในช่วงนี้ เสียภาษี 54% ก็จริง แต่มีการเคลมคืนภาษีนั้นก็จริง เป็นมาตรการสากลโลก ไม่อยากให้เกษตรกรมองในด้านลบ เพราะว่าทุกประเทศก็ทำกัน ในขณะนี้ผู้ประกอบการเองก็เริ่มแล้วจะบริหารความเสี่ยงเริ่มที่จะไปสร้างโรงงานหรือไปเป็นหุ้นส่วนอยู่ในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียแล้ว หากย้ายฐานการผลิตเมื่อไรเกษตรกรตายเพราะไม่มีที่ไป
maelek คนไทยแก้ปัญหาเรื่องเกษตรไม่เก่งหรือไม่เป็นกันแน่ เดี๋ยวเรื่องข้าว ปาล์ม สับปะรด มันสำปะหลังหลัง อื่นๆต้องจ้างต่างชาติมาช่วยแก้ละมั้ง ผลประโยชน์มันเยอะ มองไม่ค่อยเห็น
24 พ.ค. 2562 เวลา 15.27 น.
Pojsible เป็นบทความที่อ่านแล้วงงอย่างมาก โทษเกษตรกร โทษภาษี โทษWTO ยังไม่เห็นว่าจะแก้ปัญหายังไง เหมือนมาบ่นให้ฟัง
24 พ.ค. 2562 เวลา 13.18 น.
ดูทั้งหมด