Buying American แคมเปญรณรงค์ให้ซื้อสินค้าอเมริกันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในขณะนี้หลังจากที่เจ้าของกิจการต่างๆและผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากสงครามการการค้าระหว่างสหรัฐและจีนพากันเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ล้มเลิกแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา25% มูลค่า300,000 ล้านดอลลาร์
โดยที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะดำเนินการทำประชาพิจารณ์ในวันจันทร์ เพื่อรับฟังความเห็นกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ เกี่ยวกับแผนการของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% เป็นมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 25 มิถุนายน
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ USTR ดำเนินการดังกล่าว ก็จะไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ได้ จนกว่าระยะเวลาการแสดงความเห็นโต้แย้งครั้งสุดท้ายจะสิ้นสุดลง หรือหลังวันที่ 2 กรกฎาคม
ขณะที่ในสัปดาห์ที่แล้ว วอลมาร์ท อิงค์ และทาร์เก็ต คอร์ป ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้เป็นผู้นำร่วมกับ 600 บริษัท มีการส่งจดหมายเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ตอกย้ำให้เร่งแก้ไขความขัดแย้งการค้ากับจีน โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคอเมริกัน
ทางด้านบทบรรณาธิการของสื่อจีน โดยวารสารฉิวซื่อซึ่งเป็นของพรรคคคอมมูนิสต์จีน ระบุว่าจีนจะไม่ยอมอ่อนข้อในหลักการสำคัญต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐ เพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าที่กิดขึ้น
ขณะที่บทบรรณาธิการของโกลบอลไทมส์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ของทางการปักกิ่งได้ทวีตข้อความที่ย้ำว่าจีนจะไม่เกรงกลัวกับการข่มขู่คุกคามอย่างที่สหรัฐกำลังกระทำอยู่ รวมทั้งแรงบีบคั้นกดดันต่างๆ ซึ่งจะทำให้ปมขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้ายิ่งบานปลายออกไป โดยที่จีนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น หรือแม้แต่จะคิดหลบเลี่ยง แต่เป็นความจำเป็นต้องต่อสู้จนถึงที่สุด
นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะไม่มีการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่ม G-20 ที่เมืองโอซากา ในช่วงวันที่ 28-29 มิถุนายนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐขู่ว่า หากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่เข้าร่วมการประชุม G-20 ในเดือนนี้ ก็จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนในมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์
หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนต้องล้มเหลวลงในเดือนพฤษภาคม โดยที่สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 10% สู่ระดับ 25% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ในอัตราภาษีที่ 25% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา
ขณะที่สัญญาณจากบริษัทสหรัฐกว่า 600 แห่งเป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมเกษตร ภาคการผลิต ภาคค้าปลีก และภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้ลุกขึ้นมาแสดงความวิตกมาตรการเก็บภาษีไม่ใช่เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการปฏิบัติด้านการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน และยังเท่ากับเป็นการเก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐโดยตรง ซึ่งไม่ใช่จีน แต่กลับส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บรโภคชาวอเมริกันในวงกว้าง
ขณะเดียวกันวารสารฉิวซื่อของจีน ยังชี้อีกว่า ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ คือผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากการค้าที่ทำกับจีน แต่ความตึงเครียดทางการค้าที่เกิดขึ้นกลับกลายว่า จะส่งผลลบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทบรรณาธิการยังเตือนว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ การเกิดลัทธิกีดกันการค้า ก็คือยาพิษร้าย เพราะอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตให้กับธุรกิจสหรัฐ และยังผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีแต่ชาวอเมริกันจำนวนน้อยที่ได้ประโยชน์ แต่ชาวอเมริกันส่วนข้างมากจะเดือดร้อนและอยู่อย่างยากลำบาก
ล่าสุด อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.082% ขณะที่ผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลอายุ 30 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.578% จากสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐได้เปิดเผยว่า ตัวเลขชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงที่ 216,000 ราย โดยที่ชาวอเมริกันยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องสิ้นสุดวันที่ 1 มิถุนายน มีจำนวนสูงถึง 1.7 ล้านราย
ทางด้านจีนก็เริ่มสังสัญญาณล่าสุด โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 5% ในเดือนพฤษภาคม แต่เป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 17 ปี เป็นการชะลอตัวลงจากที่ขยายตัว 5.4% ในเดือนเมษายน
cob สงครามย่อมมีแต่ผู้แพ้และสูญเสีย วิธีการของทรัมป์คือมาเฟียโลกแม้แต่หญ้าแพรกอย่างเราก็เดือดร้อน จีนได้ดุลการค้าไปทั่วโลกแม้ไทยเราก็ขาดดุลกับจีนในปี61เป็นแสนล้านและเพิ่มขึ้นทุกปีโดยคุณธรรมจีนต้องแสดงตัวนำเข้าเพิ่มแต่คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องส่งเสริมการส่งออกควบคุมนำเข้าและส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะเดียวกันเมกาก็ขาดดุลกับเรานับแสนล้านและมีคนไทยจำนวนมากประกอบอาชีพและลงทุนในเมกาในขณะที่จีนมีคนมาประกอบการในแบบผิดกม.ในไทยจำนวนมาก ฉะนั้นเราจึงพึงระวังในการคบค้าและวางตัวกับทั้งคู่ครับ
17 มิ.ย. 2562 เวลา 14.17 น.
sunee ไม่มีอะไรน่าห่วง ยักษ์สู้กับยักษ์ ถ้าทั้งสองแพ้ ล้มลงแล้วก็มาเริ่มต้นใหม่ที่ศูนย์ ใช่ว่ายักษ์ล้มแล้วจะไม่ลุก มันคือวัฒจักรอย่างหนึ่ง หมุนเวียนกันไป แต่คิดว่าต่อสู้กันไม่ถึงกับล้ม แค่เจ็บๆทั้งคู่แล้วก็จับมือกันหาเงินจากกระเป๋าประเทศตัวน้อยๆกันต่อไป
17 มิ.ย. 2562 เวลา 14.39 น.
Nichapon สร้างปัญหาไปเรื่อย อินเดียก็ตอบโต้แล้ว First บ้าไรผลกระทบเกิดกับประชาชน จะหางบประมาณแบบหวานหมูไม่ลงทุนก็วิธีนี้เลย จริงๆก็เหมือนไทยนะต่างกันแค่ถ้าขึ้นภาษีในประเทศอาจอยู่ไม่ครบวาระเลยเอาจากวิธีนี้
18 มิ.ย. 2562 เวลา 02.51 น.
sunee คู่ต่อสู้สมศักดิ์ศรี คงไม่มวยล้มต้มคนดูแล้วกัน วงนอกต่อรองกันมันหยด เราคนดูขออยู่แบบพอเพียง แค่ขอให้ชนทุกเดือนเป็นพอ ฮ่าฮ่า
18 มิ.ย. 2562 เวลา 02.07 น.
กฤติเดช สุขเนืองนอง วิเคราะห์! สงครามเศรษฐกิจ แน่นอนเสียทั้งคู่ เพียงแต่ จีน เอาเปรียบคู่ค้าก็จริง แต่แฝงประโยชน์อย่างยั่งยืนให้คู่ค้าเช่นกัน จะค้าประเภทไหน จีนมักส่งผู้เชี่ยวชาญมาสอน เพื่อผลผลิตตามที่ตัวต้องการ ขึ้นอยู่กับคู่ค้าจะซึมซับความรู้จากจีนได้ขนาดไหน เพื่อมาต่อยอดผลิตผลชาติตนเอง ผิดกับ เมกา ค้าขายแกมบังคับ ออฟชั่น ความมั่นคง ซึ่งวางหมากความน่ากลัวให้กับคู่ค้ารู้สึก ไม่ซื้อ ชาติตนสั่นคลอน
17 มิ.ย. 2562 เวลา 15.20 น.
ดูทั้งหมด