กรมศิลป์ฯ - ยูซิตี้ ลงพื้นที่สำรวจอาคารศุลกสถาน หรือโรงภาษีร้อยชักสาม เพื่อบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และรูปแบบโครงสร้างดั้งเดิม ก่อนจะดำเนินการเนรมิตอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 130 ปีแห่งนี้ ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พร้อมยกระดับศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในย่านเจริญกรุง
ศุลกสถาน หรือโรงภาษีร้อยชักสาม หรือโรงภาษีเก่า ในอดีตเคยเป็นอาคารที่ทำการของศุลกสถาน (กรมศุลกากรในปัจจุบัน) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในซอยเจริญกรุง 36 ถนนเจริญกรุง แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ออกแบบและก่อสร้างขึ้นระหว่างปี 2427 - 2431 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยฝีมือของสถาปนิก และช่างรับเหมาชาวอิตาเลียน โยอาคิม แกรซี่ (Joachim Grassi)
ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมพาลลาเดียน (Palladianism) ซึ่งมีลักษณะผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีลักษณะเด่นอยู่ที่มุขกลางที่ประดับด้วยนาฬิกา และระเบียงด้านหน้า ซึ่งปรากฏซุ้มหน้าต่างตลอดแนวอาคาร
โดยเป็นอาคารสูง 3 ชั้น มีมุขกลางสูง 4 ชั้น ศิลปะโรมันคลาสสิค ทรงนีโอคลาสสิก ถือเป็นหนึ่งในอาคารที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น และเป็นแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งอยู่คู่กับชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาเป็นระยะเวลายาวนาน และบอกเล่าเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์การค้าขาย รวมถึงสถาปัตยกรรม วิถีชีวิต และการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลายในพื้นที่
ความงามของอาคารศุลกสถาน พระยาอนุมานราชธนบันทึกไว้ในหนังสือตำนานกรมศุลกากรว่า "สมัยนั้น ถ้านั่งเรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา จะปรากฏตัวตึกกรมศุลกากรตั้งตระหง่านเด่นเห็นได้แต่ไกล ด้วยเป็นตึกที่ตอนกลางสูงถึง 3 ชั้น ซึ่งในสมัยนั้นนอกจากกระทรวงกลาโหมแล้ว ดูเหมือนจะมีแต่ตึกกรมศุลกากรเท่านั้นที่เป็นตึกขนาดใหญ่ และสวยงาม…"
ในอดีตอาคารแห่งนี้นอกจากจะเป็นที่ทำการเก็บภาษีสินค้าขาเข้าและขาออกที่เรียกว่า "ภาษีร้อยชักสาม" แล้ว ยังเคยเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของเชื้อพระวงศ์และชาวต่างชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของงานสมโภชเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนิวัติพระนครหลังจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกด้วย
ต่อมาในปี 2497 ที่ทำการศุลกากร ได้ย้ายไปบริเวณท่าเรือคลองเตย ศุลกสถานก็เปลี่ยนมาเป็นที่ทำการตำรวจน้ำ จนกระทั่งเมื่อปี 2502 สถานที่แห่งนี้ถูกปรับบทบาทเป็นที่ทำการของสถานีตำรวจดับเพลิงบางรัก จนมักเรียกกันว่า "สถานีดับเพลิงบางรัก" อยู่เป็นระยะเวลานานกว่า 60 ปี ก่อนจะย้ายออกไป และกลายเป็นตึกร้าง ตัวอาคารถูกปิดการเข้าใช้งาน และอยู่ในสภาพทรุดโทรม โดยมีโครงสร้างส่วนหนึ่งชำรุดผุพัง
จนมาถึงในช่วงต้นปี 2562 กระทรวงการคลัง ได้ร่วมลงนามข้อตกลง “โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม” ร่วมกับ บริษัท ยู ซิตี้ (จำกัด) มหาชน พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญจากกองโบราณคดี กรมศิลปากร เริ่มขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีโดยรอบพื้นที่ และสเก๊ตช์ภาพเพื่อบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และรูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมของตัวอาคารศุลกสถาน (The Custom House) บนที่ราชพัสดุเนื้อที่ 5 ไร่ โดยละเอียด เพื่อดำเนินการเนรมิตอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 130 ปีแห่งนี้ ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในย่านเจริญกรุง โดยจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศเข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ
โดยคาดว่าการสำรวจดังกล่าวจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจ และโครงสร้างเดิมที่ค้นพบจากการขุดค้นดังกล่าวจะถูกนำมาใช้อ้างอิงสำหรับการบูรณะอาคารโบราณสถาน และก่อสร้างอาคารใหม่ที่จะเกิดขึ้นภายในพื้นที่ในอนาคต
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานโครงการพัฒนาโรงภาษีร้อยชักสาม เปิดเผยว่า อาคารศุลกสถานหรือโรงภาษีร้อยชักสาม ถือเป็นอาคารเก่าแก่ซึ่งอยู่คู่กับย่านเจริญกรุงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามายาวนาน และเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในอดีตโดยเฉพาะในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งหน่วยงานต่างๆ และชุมชน รวมถึง ยู ซิตี้ ตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ประเมินค่าไม่ได้ของทั้งตัวอาคาร และชุมชนโดยรอบ
จึงสนับสนุนการดําเนินการพัฒนาเพื่อฟื้นฟูอาคารอันทรงคุณค่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานแห่งนี้ให้ยังคงมีประโยชน์ และคุณค่าสําหรับคนรุ่นหลังต่อไป โดยจะเน้นการพัฒนาฟื้นฟูอาคารอนุรักษ์เดิมแบบร่วมสมัย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มาชื่นชมความสวยงามในอดีตของริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น
โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า อาคารศุลกสถานนับเป็นหนึ่งในอาคารที่มีสถาปัตยกรรมยุโรปที่ทันสมัยที่สุดในอดีต และเมื่อประกอบกับปัจจัยภายนอกอย่างการตัดถนนเจริญกรุงเพื่อขยายเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณโดยรอบโรงภาษีร้อยชักสามจึงถือเป็นย่านเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามาค้าขาย และตั้งถิ่นฐานอันนำมาซึ่งการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลายในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังคงรายล้อมด้วยสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ สถานทูตฝรั่งเศส มัสยิดฮารูณ วัดม่วงแค ร้านค้าดั้งเดิม รวมถึงโรงเรียนและโบสถ์อัสสัมชัญ
อย่างไรก็ตามด้วยความช่วยเหลือจากทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โครงการพัฒนาโรงภาษีร้อยชักสามจะเป็นไปตามหลักการบูรณะอาคารที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในทุกขั้นตอน โดยจะยึดการอนุรักษ์ความงดงามของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเป็นหลัก และพลิกฟื้นกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ในแนวทางสากลเพื่อฟื้นคืนชีพสถาปัตยกรรมให้สมบูรณ์ใกล้เคียงกับความเป็นจริงในอดีตมากที่สุด ซึ่งการบูรณะจะเริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากการศึกษาเสร็จสิ้น และทาง ยู ซิตี้ หวังว่าการบูรณะอาคารโบราณสถานครั้งนี้ จะทำให้อาคารแห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และต้อนรับความศิวิไลซ์ครั้งใหม่ในย่านริมน้ำเจ้าพระยาไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม บนพื้นที่ทั้งหมดรวม 5 ไร่ จะใช้เวลาดำเนินการรวมประมาณ 6 ปี ประกอบด้วยการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดี การบูรณะซ่อมแซมอาคารเดิมจำนวน 3 หลัง ด้วยการเสริมโครงสร้าง และความแข็งแรง การตกแต่งภายนอก และการตกแต่งภายใน รวมถึงการสร้างอาคารใหม่อีก 1 หลัง โดยคาดว่าการดำเนินงานบูรณะซ่อมแซมอาคาร และพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในปี 2568 โดยใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 4,600 ล้านบาท และในลำดับต่อไปของการพัฒนาโครงการฯ จะครอบคลุมไปถึงการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นห้องประชุมสัมมนา ห้องจัดเลี้ยง พร้อมด้วยห้องอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน
Rasari4289 ดีมากๆค่ะเราทำงานที่โรงแรมโอเรียนเต็ลนั่งเรือผ่านเห็นมานานมากยังนึกเสียดายตัวอาคารสวยมากๆ ขอบคุณที่ช่วยอนุรักษ์ค่ะ
10 ต.ค. 2562 เวลา 14.36 น.
T.cho ไม่เข้าใจทำไมปล่อยไว้นานขนาดนี้เพิ่งเข้ามาดูแล กลางเมืองหลวงแท้ๆ
10 ต.ค. 2562 เวลา 14.36 น.
Nunt Anunt สุดยอดครับ.... ถ้าาา..... บูรณะให้ใหม่จริง
10 ต.ค. 2562 เวลา 14.35 น.
tawechai.n ของเก่า100 ชัก 3 ตอนนี้ 100 อม 30 ขั้นต้น
10 ต.ค. 2562 เวลา 14.13 น.
ดูทั้งหมด