In focus
- การบังคับเกษียณอายุผิดกฎหมายในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย โดยผู้สูงอายุในประเทศเหล่านี้มักจะอ้างอิงอายุในการรับบำนาญจากภาครัฐเป็นอายุขั้นต่ำในการเกษียณ โดยหลายประเทศเลือกสร้างแรงจูงใจให้ผู้สูงอายุทำงานต่อผ่านการใช้มาตรการเพิ่มเงินบำนาญตามอายุงานที่มากขึ้น
- ตัวเลขอายุเกษียณมาตรฐานปรับตัวขึ้นช้ามากหากเทียบกับตัวเลขอายุขัยเฉลี่ย เช่นในประเทศไทย อายุขัยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วระยะเวลาราว 35 ปีที่ผ่านมาจาก 55 ปีสำหรับผู้ชาย และ 62 ปีสำหรับผู้หญิงเป็น 76 และ 83 ปี ตามลำดับ นับว่าแตกต่างจากการเพิ่มอายุเกษียณมาตรฐานในกลุ่มแรงงานสำคัญของไทยอย่างข้าราชการที่แรกเริ่มเดิมทีเกษียณอายุที่ 55 ปีก่อนจะเพิ่มเป็น 60 ปีใน พ.ศ. 2494 สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก่อนจะขยับขึ้นอีกครั้งเป็น 63 ในปีที่ผ่านมา
- การตีค่าความแก่ชราโดยขีดเส้นอายุนำไปสู่ปัญหาการเหยียดอายุ (Ageism) ในที่ทำงานจากเพื่อนร่วมงานหรือนายจ้าง โดยผู้สูงอายุมักเผชิญกับอคติว่าพวกเขาหรือเธอทำงานไม่เก่ง เรียนหนังสือไม่สูง และสุขภาพไม่ดี หากเทียบกับคนที่มีอายุน้อยกว่า ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าเราสามารถบรรเทาความคิดเหมารวมหรืออคติเหล่านั้นได้ โดยให้คนหลากหลายวัยทำงานร่วมกันเพื่อทลายมายาคติในแง่ลบดังกล่าว
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นสังคมสูงอายุเป็นที่กล่าวถึงกันมาก โดยเทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีอัตราการเกิดน้อยลง องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) คาดว่าประชากรอายุมากกว่า 60 ปีจะเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ในปี พ.ศ. 2560 ประชากรสูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี) มีจำนวน 963 ล้านคน หรือคิดเป็น 13 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด โดดเด่นในสหภาพยุโรปที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุนำลิ่วที่ 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า คว้าตำแหน่งที่สามของภูมิภาคเอเชียโดยคาดว่าจะมีประชากรสูงอายุราว 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดภายในอีก 10 ปีข้างหน้า
หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีประชากรสูงอายุมากขึ้นแล้วจะเกิดผลอย่างไร?
ผู้เขียนตอบได้ทันทีว่ามีปัญหาแน่นอนครับ เพราะประชากรที่เกษียณอายุแล้วย่อมจ่ายภาษีเข้ากระเป๋าภาครัฐน้อยลง ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ต้องจ่ายเงินดังกล่าวเป็นค่าสวัสดิการไม่ว่าจะเป็นเบี้ยคนชราหรือเงินบำนาญจากภาครัฐ เช่น กองทุนประกันสังคมซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล หากโครงสร้างประชากรยังคงเดิมนาวารัฐก็อาจยังคงแล่นต่อไปได้ แต่หากผู้สูงอายุมากขึ้นแต่คนทำงานน้อยลง คงพอจะเดาได้นะครับว่ารัฐบาลจะเจอกับอะไร
หากใครนึกภาพไม่ออกให้ลองดูประเทศญี่ปุ่น แชมป์สังคมผู้สูงอายุของโลก ที่นอกจากจะเผชิญภาวะเงินฝืดต่อเนื่องยาวนาน เศรษฐกิจเติบโตไม่ได้ตามเป้าเพราะคนไม่ใช้จ่าย รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ต้องเจอกับภาระหนี้สินมหาศาลที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์ดังกล่าวชวนให้ตั้งคำถามว่า นโยบายบังคับเกษียณอายุล้าสมัยไปหรือยัง? แล้วหลากประเทศทั่วโลกปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับภาวะสังคมสูงอายุ
มายาคติว่าด้วยผู้สูงอายุ
การเกษียณอายุกลายเป็นช่วงวัยหนึ่งของมนุษย์หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต แนวคิดดังกล่าวเกิดพร้อมกับช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยความคิดที่ว่า เมื่อมนุษย์อายุมากขึ้นศักยภาพในการทำงานก็จะลดลงเป็นเงาตามตัว การทำงานต่ออาจไม่มีประสิทธิภาพหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ ในศตวรรษที่ 21 แต่ละประเทศมีอายุเกษียณ ‘มาตรฐาน’ ตั้งแต่ 50 ถึง 70 ปี
คำถามชวนคิดในสังคมผู้สูงอายุเช่นปัจจุบัน คือ เมื่อเราเดินทางถึงตัวเลขอายุเกษียณมาตรฐานนั่นหมายความว่าเราจะกลายเป็นผู้สูงอายุ หมดศักยภาพในการทำงาน และควรเก็บกระเป๋ากลับบ้านเพื่อใช้เวลาว่างเลี้ยงหลาน ปลูกต้นไม้ นอนดูโทรทัศน์อย่างนั้นหรือ? ความคิดดังกล่าวดูจะขัดกับข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ผู้สูงอายุหลายคนยังทำงานได้ดีแม้ว่าจะอายุมากกว่า 60 ปี
ผู้สูงอายุขวัญใจของผมคือเดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (David Attenborough)นักโทรทัศน์ชั้นยอดผู้ให้เสียงพากย์สารคดีธรรมชาติที่กล่าวได้ว่าเป็นมรดกของอารยธรรมมนุษย์อย่าง Planet Earth I & II รวมถึงซีรีส์สารคดีที่มียอดผู้ชมสูงที่สุดทางเน็ตฟลิกซ์ Our Planet ซึ่งเผยแพร่เมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเขาอายุ 93 ปี และมีคิวงานพากย์สารคดี Planet Earth III ตอนอายุ 96 ปี คงน่าเสียดายไม่น้อยหากเขาถูก ‘บังคับให้เลิกทำงาน’ เมื่ออายุถึงเกณฑ์เกษียณ
ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า เมื่ออายุก้าวย่างเข้าสู่วัยชรา ศักยภาพและประสิทธิภาพการทำงานอาจเสื่อมถอยไปพร้อมกับสภาพร่างกาย แต่การ ‘บังคับเกษียณ’ โดยอิงจากอายุอาจไม่เหมาะสมนักซึ่งเราควรมีตัวชี้วัดอื่นๆ ที่จะบอกให้ใครสักคนหยุดทำงาน มากกว่าบอกว่าเขาหรือเธอควรหยุดทำงานเพราะอายุเกิน
การตีค่าความแก่ชราโดยขีดเส้นอายุยังนำไปสู่ปัญหาการเหยียดอายุ (Ageism) ในที่ทำงานจากเพื่อนร่วมงานหรือนายจ้าง โดยผู้สูงอายุมักเผชิญกับอคติว่าพวกเขาหรือเธอทำงานไม่เก่ง เรียนหนังสือไม่สูง และสุขภาพไม่ดี หากเทียบกับคนที่มีอายุน้อยกว่า ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าเราสามารถบรรเทาความคิดเหมารวมหรืออคติเหล่านั้นได้ โดยให้คนหลากหลายวัยทำงานร่วมกันเพื่อทลายมายาคติในแง่ลบดังกล่าว
ในบางประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติจากอายุ (Age Discrimination) เช่น กฎหมายการเลือกปฏิบัติจากอายุในการจ้างงาน ค.ศ. 1967 (Age Discrimination in Employment Act) ในสหรัฐอเมริกาที่ห้ามเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงาน เลื่อนตำแหน่ง ค่าตอบแทน และการเลิกจ้าง ต่อผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี หรือในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่จะมีการสุ่มกลั่นกรองประกาศรับสมัครงานเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ
สำหรับในไทย เราจะเห็นการเหยียดผู้สูงอายุอย่างสนุกปากในโลกออนไลน์ซึ่งสะท้อนมายาคติและความคิดแบบเหมารวมต่อผู้สูงอายุ อย่างไรก็ดี การเลือกปฏิบัติในลักษณะดังกล่าวอาจไม่เป็นที่พูดถึงมากนักหากเทียบกับการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง หรือกลุ่มเพศทางเลือก นอกจากนี้ แม้รัฐธรรมนูญของไทยจะระบุกว้างๆ ว่าการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอายุเป็นเรื่องกระทำไม่ได้ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
เราควรมีการบังคับเกษียณอายุหรือไม่?
ตัวเลขมาตรฐานสำหรับการเกษียณอายุแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันออกไป ในประเทศไทย เราอาจคุ้นเคยกับการกำหนดที่ชัดเจน เช่น ข้าราชการอายุถึง 60 – 63 ปีก็จะถูก ‘บังคับเกษียณอายุ’ ส่วนภาคเอกชนถึงแม้จะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่หลายบริษัทขนาดใหญ่ก็ยึดเกณฑ์อายุขั้นต่ำในการรับสิทธิประกันสังคมที่ 55 ปีโดยระบุไว้ในสัญญาจ้างงานว่าเป็นอายุสำหรับการเกษียณ ส่วนจะว่าจ้างต่อหรือไม่อาจพิจารณาเป็นรายกรณี
แต่ทราบไหมครับว่าการบังคับเกษียณอายุในลักษณะดังกล่าวผิดกฎหมายในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย โดยผู้สูงอายุในประเทศเหล่านี้มักจะอ้างอิงอายุในการรับบำนาญจากภาครัฐเป็นอายุขั้นต่ำในการเกษียณ โดยหลายประเทศเลือกสร้างแรงจูงใจให้ผู้สูงอายุทำงานต่อผ่านการใช้มาตรการเพิ่มเงินบำนาญตามอายุงานที่มากขึ้น ไม่ต่างจากโบนัสคืนกำไรให้กับคนชรา
ในขณะที่บางประเทศแม้จะอนุญาตให้มีการบังคับเกษียณอายุ แต่ก็มีการกำหนดอายุขั้นต่ำไว้ในกฎหมาย เช่น ญี่ปุ่น (อย่างน้อย 60 ปี) ฝรั่งเศส (อย่างน้อย 62 ปี แต่หากต้องการรับสวัสดิการเต็มต้องทำงานถึงอายุอย่างน้อย 65 ปี และจะเพิ่มเป็น 67 ปี) และเยอรมนี (อย่างน้อย 65 ปีและจะเพิ่มเป็น 67 ปี)
ตัวเลขอายุเกษียณมาตรฐานปรับตัวขึ้นช้ามากหากเทียบกับตัวเลขอายุขัยเฉลี่ย โดยใน พ.ศ. 2493 มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 46 ปีเท่านั้น หากเทียบกับล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2558 มนุษย์ทั่วโลกมีอายุขัยเฉลี่ยสูงถึง 71 ปี และในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป อายุขัยเฉลี่ยอาจแตะเลขแปด จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศเริ่มขยับตัวเลขการเกษียณอายุ หรือตัวเลขอายุรับสิทธิเงินบำนาญจากการเกษียณให้เพิ่มมากขึ้น
ในประเทศไทย อายุขัยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วระยะเวลาราว 35 ปีที่ผ่านมาจาก 55 ปีสำหรับผู้ชาย และ 62 ปีสำหรับผู้หญิงเป็น 76 และ 83 ปี ตามลำดับ ถือว่าแตกต่างจากการเพิ่มอายุเกษียณมาตรฐานในกลุ่มแรงงานสำคัญของไทยอย่างข้าราชการที่แรกเริ่มเดิมที่เกษียณอายุที่ 55 ปีก่อนจะเพิ่มเป็น 60 ปีใน พ.ศ. 2494 สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก่อนจะขยับขึ้นอีกครั้งเป็น 63 ปีเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังนับว่าน้อยมากหากเทียบกับอายุขัยเฉลี่ย
อินโฟกราฟฟิกอายุขัยเฉลี่ยทั่วโลกเปรียบเทียบระหว่าง พ.ศ. 2493 และ พ.ศ. 2558 ภาพจาก ourworldindata.org
ในโลกที่อายุขัยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการแพทย์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสารพัดเทคโนโลยีที่บรรเทาอุปสรรคการทำงานของผู้สูงอายุ ภาวะดังกล่าวชวนให้ตั้งคำถามว่าการกำหนดอายุสำหรับการเกษียณกำลังกลายเป็นเรื่องที่หมุนทันโลกหรือไม่ และถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะทบทวนนโยบายเกษียณอายุดังกล่าวก่อนที่ประเทศจะเข้าสู่กับดักเช่นเดียวกับญี่ปุ่น
อีกประเด็นที่ผู้เขียนเริ่มเห็นการขยับบ้างคืออายุขั้นต่ำในการรับสิทธิเงินบำนาญจากประกันสังคมไทย ที่จะค่อยๆ ขยับขยายจาก 55 ปีเป็น 60 ปี อย่างไรก็ดี ผู้เขียนยังมองว่าตัวเลขดังกล่าวยังต่ำเกินไปและตัดโอกาสสร้างสรรค์งานของผู้สูงอายุสุขภาพดีที่ถูกจูงใจให้เกษียณก่อนวัยอันควร จากสถิติล่าสุดที่อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีในไทยอยู่ที่ 63 ปีสำหรับผู้ชาย และ 69 ปีสำหรับผู้หญิง
แน่นอนว่าการเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าวควรค่อยเป็นค่อยไปและให้เวลาประชาชนปรับตัว แต่เพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสซ้ำซ้อนจากกระบวนการแก้กฎหมายที่ล่าช้า ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เตรียมออกกฎหมายอายุขั้นต่ำในการรับสิทธิเงินบำนาญจากภาครัฐแบบยืดหยุ่นโดยผูกติดกับตัวเลขอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไปเลยไม่ต้องมาแก้กฎหมายหลายรอบ
นอกจากการขยายอายุการทำงานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการทลายมายาคติเกี่ยวกับผู้สูงอายุในที่ทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาการเลือกปฏิบัติจากอายุ ลบอคติแบบเหมารวม เพื่อบรรยากาศที่เอื้อให้ผู้สูงวัยก้าวออกจากบ้านมาทำงานอย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพ
เอกสารประกอบการเขียน
Is It Time To Abolish Mandatory Retirement?
Why the World Needs to Rethink Retirement
A comparative review of international approaches to mandatory retirement
Did the Elimination of Mandatory Retirement Affect Faculty Retirement Flows?
เมื่อเร็วๆนี้ได้เห็นข่าวว่า คุณยายวัย84ได้รับการทาบทามเป็นนางเอกหนังAV 😁😁😁 แสดงว่าญี่ปุ่นเขามองตลาดการค้าออกว่าคนแก่จะล้นโลก 😃😄😃 ก็คงจะเป็นพวกคุณๆที่กำลังหาทางต่ออายุต่อเกษียณนี่เอง 🤣🤣🤣 ไปหละฟิ๊วส์...
27 ม.ค. 2563 เวลา 09.22 น.
Peace ยกเลิกเถอะ เอาระบบประกันสังคมมาใช้ มันเอาเปรียบประชาชนมากไป เกิดการเลื่อมล้ำดูและพ่อแม่แถมลูกอีก ก็คิดใหม่ให้ประกันสังคม เหมือนอเมริกาเขาทำ อยากได้สวัสดิการดี ก็ใช้วิธีประกัน เอา
27 ม.ค. 2563 เวลา 08.57 น.
bunterm เปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังบาง อย่าหวงอำนาจ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง เทคโนโลยีใหม่คุณตามไม่ทันหรอก อย่าคิดไม่มีพวกคุณทำงานแล้วมันเหลวแหลก คนที่มาทำแทนพวกคุณเขาอาจทำได้ดีกว่าคุณอีก ปลงเถอะอย่าฝืนสังขาร หาความสุขในบั้นปลายของชีวิต แล้วก็อย่าทำความเลวให้ผู้อื่นเดือดร้อน แยกแยะให้ออกด้วยเด้อ ดีกับเลวอ่ะ
27 ม.ค. 2563 เวลา 08.15 น.
ถ้าเป็นข้าราชการนะเกษียญไปเถอะ เงินเดือนเยอะเปลื้องงบประมาณ แก่แล้วมีบำนาญเยอะก็เสียภาษีได้ เป็นที่ปรึกษาได้
27 ม.ค. 2563 เวลา 07.41 น.
ดูทั้งหมด