In focus
- ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี น้ำแข็งจำนวนมหาศาลจะถูกขุดลากขึ้นมาจากแม่น้ำทอร์นเพื่อแปลงร่างให้กลายเป็นผลงานศิลปะ แต่ความสวยงามดังกล่าวอยู่ได้เพียงชั่วครั้งคราว เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนและแม่น้ำได้กลับมาไหลอีกครั้ง โรงแรมน้ำแข็งทั้งหลังจะละลายหายลงไปยังแม่น้ำ นี่คือวงจรของโรงแรมน้ำแข็งใกล้เมืองคิรูนา ประเทศสวีเดน ที่เปิดให้เข้าพักและเข้าไปชมงานศิลปะจากน้ำแข็งที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกปี
- อุทยานแห่งชาติอบิสโกสถานที่ซึ่งได้รับคำกล่าวขานว่าสามารถชมแสงเหนือหรือออโรราได้สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเราสามารถจับจองการชมแสงเหนือบนยอดเขานูอัลจา ความสูง 900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งจะสามารถรับชมไปแบบ 360 องศา นอกจากนี้ บริเวณอุทยานแห่งชาติยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การนั่งเลื่อนหิมะชมอุทยานที่ลากโดยทีมน้องหมาฮัสกีค่าตัวแพงอีกด้วย
ฟ้ามืดแล้วตอนที่เครื่องบินทิ้งตัวลงอย่างนิ่มนวลบนสนามบินคิรูนา (Kiruna Airport) สนามบินที่อยู่ทางเหนือที่สุดของประเทศสวีเดน หิมะบางเบาราวปุยนุ่นเดือนธันวาคมโปรยมาต้อนรับเราท่ามกลางอากาศหนาวติดลบเลขสองหลัก นั่นเป็นครั้งแรกๆ ที่ผมได้สัมผัสหิมะ และยังคงจดจำความงามตระการตาของมนต์เสน่ห์ดินแดนทางเหนือได้จวบจนปัจจุบัน
พลิกดูนาฬิกา เวลายังไม่พ้นหกโมงเย็นดี แต่นี่คือแลปแลนด์ในฤดูหนาวที่มีช่วงเวลากลางวันแสนสั้นกระทั่งบางวันพระอาทิตย์จะไม่โผล่พ้นขอบฟ้า โชคดีที่เราอยู่ในยุคที่มีแสงประดิษฐ์จากไฟฟ้าทำให้การใช้ชีวิตไม่ลำบากมากมายอะไรนัก
คิรูนา เมืองขนาดกลางที่ค่อนข้างสงบเงียบ จุดหมายในเมืองนี้ของเราคือโรงแรมน้ำแข็งริมแม่น้ำทอร์น (Torne River) ก่อนที่จะจับรถไฟไปอุทยานแห่งชาติอบิสโก จุดชมแสงเหนือชื่อดังของสวีเดนโดยมีออโรร่าสกายสเตชัน (Aurora Sky Station) ศูนย์ที่ตั้งอยู่เหนือยอดเขานูอัลจา (Nuolja) ความสูง 900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเพื่อให้เราเข้าใกล้ท้องฟ้ามากกว่าที่เคย
โรงแรมน้ำแข็ง ความสวยงามที่มีวันละลาย
ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี น้ำแข็งจำนวนมหาศาลจะถูกขุดลากขึ้นมาจากแม่น้ำทอร์น ส่งต่อเข้าสู่โรงหัตถการเพื่อแปลงร่างให้กลายเป็นผลงานศิลปะ แต่ความสวยงามดังกล่าวอยู่ได้เพียงชั่วครั้งคราว เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนและแม่น้ำกลับมาไหลอีกครั้ง โรงแรมทั้งหลังพร้อมกับผลงานศิลปะก็จะละลายหายลงไปยังแม่น้ำ รอฤดูหนาวใหม่มาเยือนพร้อมกับศิลปินหน้าใหม่ที่มาพร้อมกับแรงบันดาลใจใหม่ๆ
เราจับรถไปยังโรงแรมน้ำแข็งแห่งนี้โดยกะเวลาให้ถึงที่หมายก่อนทัวร์เริ่ม ท้องฟ้ายังคงไม่สว่างดี เรากล่าวทักทายกับพนักงานข้างหน้าแล้วยื่นตั๋วที่จองออนไลน์มาให้ ไกด์ทัวร์จะเริ่มตอน 10 โมงเช้าเราจึงใช้เวลาว่างเดินมองโรงแรมน้ำแข็งจากภายนอกซึ่งเป็นโครงสร้างสีขาวโพลนที่ดูแสนจะธรรมดา
แต่ก้าวแรกที่เข้าไปในโรงแรม เสาน้ำแข็งงามตระการพร้อมกับโคมแขวนขนาดใหญ่บอกกับเราว่าการตัดสินใจมาเยือนโรงแรมแห่งนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง
โถงด้านหน้าที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยวเมื่อก้าวเข้าไปในโรงแรมน้ำแข็ง
ผู้นำทัวร์แนะนำประวัติของโรงแรมแห่งนี้คร่าวๆ พลางพาเราเดินชมบางส่วนของโรงแรม แต่คำอธิบายเหล่านั้นแทบไม่เข้าหูเพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยศิลปะตระการตา ศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกได้รับเชิญมาทำงานกับน้ำแข็ง วัสดุซึ่งบางคนอาจไม่เคยทำงานด้วยแต่กลับรังสรรค์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยแต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้ตกแต่งห้องหนึ่งห้องตามแรงบันดาลใจ บ้างออกมาเป็นประติมากรรมน้ำแข็งนามธรรม บ้างเป็นโครงซุ้มโค้งสลับซับซ้อน บ้างปั้นเป็นรูปช้างทั้งตัว
งานศิลปะในห้องหนึ่งที่เป็นประติมากรรมช้างตัวยักษ์ ในภาพคืองวงช้างที่วนรอบเจ้าหนูตัวน้อยที่ซ่อนอยู่ตรงกลางงวง
โรงแรมนี้เปิดให้เข้าพักสำหรับผู้ต้องการประสบการณ์นอนท่ามกลางหมู่มวลศิลปะในความหนาว -5 องศาเซลเซียสบนแท่นน้ำแข็งที่ปูด้วยหนังสัตว์ ผู้เข้าพักต้องนอนในถุงนอนในห้องที่ไม่มีประตู โดยต้องออกจากห้องตอน 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นเพื่อให้นักท่องเที่ยว (เช่นผม) เข้ามาชมความงาม สนนราคาห้องพักถูกที่สุดคืนละ 10,000 บาท
บรรยากาศภายในห้องพักห้องหนึ่งของโรงแรมน้ำแข็ง
ฟังแล้วก็ปาดเหงื่อแม้ว่าอุณหภูมิจะติดลบ หากต้องลิ้มลองประสบการณ์คงต้องเก็บหอมรอมริบอีกสักพักใหญ่ๆ
ด้านข้างของโรงแรมน้ำแข็งมีโรงหัตถการที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งก้อนขนาดยักษ์ และก้อนน้ำแข็งที่ผ่านกระบวนการให้เป็นรูปทรงกลมสวยงาม นี่คือจุดกำเนิดของประติมากรรมน้ำแข็งด้านในโรงแรม ผู้นำทัวร์อธิบายว่าโรงแรมแห่งนี้ก่อสร้างจากน้ำแข็งล้วนๆ แม้กระทั่งโครงสร้างอาคารทั้งหมดก็ก่อจากสไนซ์ (snice) วัสดุพิเศษซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างหิมะ (snow) รวมกับน้ำแข็ง (ice) โดยจะอัดสไนซ์เข้าไปในโครงแบบ ทิ้งไว้ให้คงตัวแล้วถอดโครงออกก็จะได้เป็นกำแพงแข็งแรงความหนาร่วมเมตร
โรงหัตถการสำหรับเนรมิตน้ำแข็งก้อนยักษ์ให้เป็นรูปทรงต่างๆ
ไม่ใกล้ไม่ไกลมีพนักงานกำลังทำงานอย่างขมักเขม้น เก็บรายละเอียดโครงสร้างอาคารหลังหนึ่งซึ่งคือโบสถ์น้ำแข็งสำหรับพิธีแต่งงาน ผู้นำทัวร์กล่าวว่าปีนี้น้ำแข็งตัวช้ากว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องเร่งมือเพื่อให้เสร็จทันคริสต์มาส
ทีมงานกำลังขมักเขม้นเพื่อเร่งให้โบสถ์หิมะเสร็จทันคริสต์มาส
เวลาย่ำบ่าย แม้พระอาทิตย์ยังไม่แง้มโฉม แต่ริมขอบฟ้ากลับกลายเป็นสีคล้ายพระอาทิตย์ขึ้น แดง ส้ม อมชมพู สะท้อนระริกตัดกับทุ่งน้ำแข็งกว้าง เราโบกมือทักทายคณะเดินทางที่นั่งอยู่บนเลื่อนที่ลากโดยสุนัขนับสิบตัว
ก่อนกลับ เราแวะดื่มเครื่องดื่มให้ร่างกายอุ่นในบาร์น้ำแข็ง เครื่องดื่มสีสวยเสิร์ฟในแก้วน้ำแข็งสีใส เราปล่อยให้ไอความร้อนจากร่างกายค่อยๆ เซาะน้ำแข็งให้ละลายลง นั่งละเลียดเครื่องดื่มและมองชมสถาปัตยกรรมน้ำแข็งที่ประดับอยู่รายรอบ น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่วันหนึ่งอาคารทั้งหมดจะละลายกลายเป็นน้ำ เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ผ่านมือและสายตาของศิลปินสักคนหนึ่ง
ท้องฟ้าเวลาประมาณบ่ายโมงตรงบริเวณข้างโรงแรมน้ำแข็ง ดวงอาทิตย์ที่ไม่โผล่พ้นขอบฟ้าในช่วงฤดูหนาวเปลี่ยนท้องฟ้ากลายเป็นสีตระการตา
ชมการแสดงเหนือขอบฟ้าบนยอดเขานูอัลจา
จากคิรูนา เรานั่งรถไฟราวชั่วโมงเศษเพื่อไปยังสถานีสุดท้ายของทริปคืออบิสโก (Abisko)เมืองขนาดกระทัดรัดที่อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติอบิสโกสถานที่ซึ่งได้รับคำกล่าวขานว่าสามารถชมแสงเหนือหรือออโรราบอเรียลลิส (aurora borealis) ได้สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ที่อุทยานแห่งนี้มีจำนวนที่พักค่อนข้างจำกัดและอาหารราคาแพงหูฉี่ โชคดีที่เราเตรียมความพร้อมมาจากเมืองคิรูนา ขนอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ตเพียงพอต่อการประทังชีวิต แถมเรายังได้พบมิตรคนไทยที่สถานีรถไฟพร้อมกับข่าวร้ายจากพวกเขาที่เล่าว่าตลอดเวลาที่เขามาตามหาแสงเหนือ สิ่งที่ได้กลับไปคือความว่างเปล่าเพราะฟ้าปิด
‘ขอให้โชคดี’ เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินทางกลับสต็อกโฮห์มทางรถไฟ ผมเงยหน้า ฟ้ายามเย็นครึ้มมืดชวนให้เรากลับที่พัก แต่ด้วยใจที่ไม่ค่อยสงบนัก ผมและเพื่อนร่วมขบวนตัดสินใจออกมาตระเวนย่ำหลังอาหารค่ำเผื่อแสงเหนือจะเผยกายแต่ผลที่ได้คือคว้าน้ำเหลว เราปลอบใจตัวเองว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งคืน
ย่ำรุ่งของอีกวัน เราได้สัมผัสอุทยานแห่งชาติสีขาวโพลนในมุมมองใหม่ เดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ นั่งเล่นริมทะเลสาบที่บางส่วนเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง ฟ้ายังคงมืดครึ้มด้วยมวลเมฆ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเดินหน้าไปตามตารางที่วางไว้ คือนั่งเลื่อนลากโดยหมู่น้องหมาฮัสกีตอนบ่าย ก่อนจะพาตัวเองนั่งลิฟต์สกีสู่ยอดเขานูอัลจา รอชมการแสดงสดบนท้องฟ้าที่ออโรราสกายสเตชัน
แต่ความจริงก็อาจไม่ได้เป็นไปดังฝัน เพราะน้องหมาคิวเต็มเหลือเพียงรอบเดียวคือบ่ายสองโมงครึ่ง เวลาดังกล่าวคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าน้องหมายกขบวนมาลากเลื่อนแถวเส้นศูนย์สูตร แต่สำหรับแลปแลนด์แล้วช่วงเวลาดังกล่าวคือการนั่งเลื่อนชมพระจันทร์ในราคาค่อนหมื่น แต่ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว ผมก็ตัดสินใจปาดเหงื่อ (อีกครั้ง) ควักกระเป๋าจ่ายแต่โดยดี
เมื่อถึงเวลานัด ผมก็ได้เจอกับทีมน้องหมาที่ค่าตัวรายวันน่าจะสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในไทย การนั่งเลื่อนที่ลากโดยฝูงสุนัขกลายเป็นประสบการณ์คล้ายทะลุเข้าไปในอุโมงค์เพราะสองข้างทางมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์จางๆ แสงจากไฟฉาย และเงาไม้สองข้างทางพอให้เราได้ดื่มด่ำบรรยากาศของป่าสน เราพักครึ่งทางในกระโจมที่ตั้งอยู่กลางป่า ผิงไฟ ดื่มโกโก้อุ่นๆ ก่อนจะทะลุมิติไปพร้อมกับน้องหมาต่อ เป็นประสบการณ์ที่ทั้งสนุก หวาดเสียว และควรจะลองครั้งหนึ่งในชีวิต
ทีมน้องหมาลากเลื่อนพาพวกเขาตะลุฝ่าความมืดในอุทยานอบิสโก
เวลาชั่วโมงเศษผ่านไปชั่วพริบตา เราได้สัมผัสกับทีมน้องหมาที่พาเราตะลุยป่ามืด ไม่แน่ใจว่าเพราะว่าแสงไม่พอหรืออะไร มองไปผ่านๆ น้องหมาหน้าตาไม่ค่อยต่างจากหมาวัดในไทยสักเท่าไร ผมได้รับไส้กรอกแข็งๆ หนึ่งชิ้นให้นำไปป้อนน้องหมาที่หน้าตาถูกชะตาที่สุด หลังจากลูบหัวลูบหางก็ได้เวลาโบกมือลาให้ทีมน้องหมาไปพักผ่อน
จุดหมายสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลต์ของทริปนี้คือออโรราสกายสเตชันบนยอดเขานูอัลจา เราเตรียมความพร้อมที่สถานีบนพื้นราบโดยสวมชุดหนาเตอะคล้ายมนุษย์อวกาศเตรียมรับความหนาวและลมแรงสุดขั้วที่ยอดเขา ก่อนจะทะยอยไปขึ้นลิฟต์สกีที่ต้องนั่งห้อยขาอยู่ค่อนชั่วโมงบนความสูงระดับที่มองเห็นยอดต้นสนเล็กจิ๋วบนพื้นหิมะสีขาวโพลน
สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบความสูงสักเท่าไร นี่เป็นอีกครั้งที่ต้องปาดเหงื่อกลางอากาศหนาว
ราว 4 ทุ่มตรงพวกเราก็ถึงยอดเขานูอัลจา มีอาคารขนาดย่อมอยู่ตรงกลางคล้ายศูนย์เรียนรู้ซึ่งบรรจุคำอธิบายเกี่ยวกับแสงเหนือไว้อย่างเต็มเปี่ยม บนยอดเขาเป็นลานหิมะสีขาวโพลนที่ย่ำแต่ละครั้งต้องใช้กำลังไม่ใช่น้อยเพราะหิมะลึกถึงค่อนขา มันเป็นภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาดโดยสามารถมองท้องฟ้าได้ 360 องศาและเห็นแสงสว่างจากเมืองอยู่ไกลลิบตา
โชคดีที่ท้องฟ้าเริ่มใสให้แสงจันทร์เผยร่างอวดโฉม อีกหนึ่งปัจจัยเดียวที่ต้องรอคือลมสุริยะที่มีกำลังแรงพอจะเปลี่ยนประจุบนฟากฟ้าให้กลายเป็นสีสันตระการตา ระหว่างที่รอเราถูกต้องให้เขาไปฟังบรรยายเกี่ยวกับแสงเหนือ เขาบอกเล่าสารพัดตำนานและการตีความของแสงเหนือในอดีต เช่น บางชนเผ่ามองว่าคือวิญญาณของผู้จากไปที่ล่องลอยสู่ท้องฟ้า บ้างมองว่าเป็นลำแสงจากการที่เทพพระเจ้าเล่นฟุตบอลกัน ระหว่างนั่งขำกันอยู่นั้นก็มีเพื่อนร่วมคณะชี้ให้เห็นว่าออโรราปรากฎกายบางๆ เหนือขอบฟ้าจากกล้องที่ถ่ายบรรยากาศภายนอกเข้ามาสู่ในห้อง
ผู้บรรยายพยายามคุมสถานการณ์โดยบอกว่ามันเป็นแค่เส้นบางๆ เอง รอในนี้ก่อนก็ได้ แต่ไม่ทันจะจบประโยคทุกคนต่างก็ลุกหายไปจับจองพื้นที่เพื่อรอชมการแสดงเหนือขอบฟ้า
แล้วมันก็มาจริงๆ ราวห้าทุ่มครึ่ง จากแสงจางๆ เริ่มปรากฎชัดเจน จากเส้นเดียวกลายเป็นสอง ขยายสาขาออกเป็นสามและสี่เส้น บางมุมแสงสีเขียวกระจายตัวออกคล้ายคลื่นน้ำ ทุกวินาทีเคลื่อนไหวแตกต่าง มันคือการแสดงเหนือขอบฟ้าที่งามตระการตา วูบไหว และชวนให้หัวใจเต้นแรง ผมพยายามใช้ขาตั้งและกล้องที่พกมาด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ไม่นานก็ต้องยอมแพ้ ทิ้งตัวลงนอนให้หิมะกอด พลางปล่อยสายตาและใจไปกับความงดงามที่ยากจะบรรยายเป็นตัวอักษร
ภาพแสงเหนือจากยอดเขานูอัลจา
ราวตีหนึ่ง ผมและเพื่อนเป็นคณะสุดท้ายที่ถูกต้อนลงจากยอดเขา การแสดงยังไม่ปิดม่านแม้ว่าเริ่มเบาบางลง เมื่อกลับถึงที่พัก ผมกับเพื่อนยังชวนกันย่ำไปในความมืดเผื่อมีโอกาสได้เห็นแสงเหนืออีกครั้ง นั่นคือคืนสุดท้ายที่อบิสโก ค่ำคืนที่น่าจดจำ แสนประทับใจ และชวนให้นึกถึงเพื่อหาโอกาสกลับไปอีกสักครั้ง
ขอบคุณ ธิษณา กูลโฆษะ ผู้จัดการทริป
Fact Box
- สำหรับผู้สนใจ ผู้เขียนแนะนำให้อ่านรายละเอียด เวลาเปิด-ปิดทำการ รวมถึงตารางกิจกรรมของโรงแรมน้ำแข็งและออโรราสกายสเตชันประกอบการวางแผนเดินทาง เนื่องจากทั้งสองสถานที่ปรับเปลี่ยนตารางกิจกรรมตามฤดูกาล
Chanathip C. ชอบครับ บทความแบบนี้ สมัยก่อนจะมีให้อ่านเป็นสกู๊ปสั้น ๆ ในคอลัมน์ของนิตยสารหรือวารสารต่าง ๆ แต่หลังจากช่วงที่มี Disruptive Technology เข้ามาใหม่ ๆ ปรากฏว่าสื่อต่าง ๆ ในโลกไอทีมีแต่เน้นข่าวสั้น ๆ แรง ๆ แต่อ่านแล้วหาใจความไม่ได้ นี่วันนี้ผมโชคดีได้มาเจอบทความนี้ เหมือนได้กลับไปอ่านสกู๊ปสั้น ๆ ในนิตยสารสมัยก่อน สร้างสรรค์และอ่านเพลินดีครับ
17 พ.ย. 2562 เวลา 18.21 น.
Mousyli เคยไปมาเมื่อ10กว่าปีก่อน ชอบมากค่ะ👍
17 พ.ย. 2562 เวลา 21.11 น.
anntn2012 มันจะไป สู้ กระท่อม ย่ำโคลน ปนกลิ่นโคลนสาปควาย บ้าน เฮา ได้ไง สวยกว่า มันกว่า แน่นอน
18 พ.ย. 2562 เวลา 04.50 น.
Santi โคดเว่อ หลุดมาก
17 พ.ย. 2562 เวลา 14.11 น.
ดูทั้งหมด