ร่างกายของเราใช้เสร็จแล้วเอาไปทำอะไรดี หรือเรียกอีกอย่างว่า จัดการศพยังไง หลังจากตายไปแล้ว หลายคนยังไม่อยากจะวางแผนเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คงยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆเร็วนี้ หรือคิดว่าไม่ใช่ธุระของตัวเองเป็นธุระของ คนรัก ลูกหลานหรือคนในครอบครัวที่จะต้องจัดการให้
.
.
ความเชื่อของมนุษย์เราในโลกนี้แตกต่างกันไปมากมายมีวัฒนธรรมในการจัดการกับศพที่ไม่เหมือนกัน อย่างของคนไทยเราส่วนใหญ่ก็จะเผาแล้วเอาเถ้ากระดูกไปลอยอังคารในทะเล แม่น้ำ หรือไม่ก็เอาไปเก็บไว้ที่วัด คนจีนก็นิยมนำไปฝังฮวงซุ้ย โดยมีความเชื่อว่าทำเลที่ตั้งของหลุมฟังศพบรรพบุรุษจะส่งผลกับความเจริญก้าวหน้าของลูกหลาน เช่น ด้านหลังต้องเป็นภูเขาด้านหน้าต้องเป็นน้ำ มีการเตรียมที่ทางไว้ก่อนตาย บางที่ราคาแพงกว่าที่อยู่คนเป็นเป็นเสียอีก
.
.
คนอิตาเลียนนิยมฝังศพในสุสาน มีวัฒนธรรมให้เกียรติผู้ตายด้วยการสร้างงานศิลปซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประติมากรรมรูปเหมือนของผู้เสียชีวิต ในอดีตบางคนเป็นคนยากจนยอมอดออมเก็บเงินทั้งชีวิตเพื่อจ้างศิลปินฝีมือดีราคาแพงแกะรูปสลักหินอ่อนของตัวเองให้หลุมฝังศพดูดีที่สุด สุสานที่รวบรวมผลงานระดับโลกที่มี ชื่อเสียงในหมู่ศิลปินอยู่ที่เมืองเจนัวว่า ส่วนของคนธิเบตนั้น กลับตรงกันข้ามคนธิเบตมีความเชื่อว่า หลังจากตายแล้ววิญญาณจะออกจากร่างทันที จึงมองว่าศพเป็นเพียงซากเนื้อเท่านั้น จึงเอาศพเอามาชำแหละให้สัตว์กิน เป็นการทำบุญทำทานครั้งสุดท้าย คนจนก็จะชำแหละโยนลงน้ำให้เป็นอาหารปลา คนทั่วไปก็จะเอาขึ้นภูเขาชำแหละให้นกแร้งกิน พระหรือคนมีสตางค์เท่านั้นถึงจะได้เผาเพราะน้ำมันและไม้เป็นของหายากและมีราคาแพง ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็ยังไม่ค่อยจะแปลกเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับคนไทยเรา
.
.
แต่ที่แปลกแบบไม่น่าเชื่อเช่นการกินเถ้ากระดูกของศพผู้ตายของชนเผ่ายาโนมามิในป่าอเมซอนเพราะเชื่อว่า จะเป็นการรักษาจิตวิญญาณของผู้ตายให้ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป กรรมวิธีก็คือปล่อยศพทิ้งไว้ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็นำไปเผาแล้วเอาเถ้ากระดูกมาต้มเป็นน้ำซุปเพื่อนดื่มกินกันทั้งเผ่า ถ้าเป็นศพของเพศชายที่ถูกฆ่าโดยเผ่าอื่นจะวางทิ้งไว้ประมาณหนึ่งปีเพราะเชื่อว่ารอให้ความแค้นละลายหายไปกับศพแล้วค่อยนำซากมาเผาเพื่อให้ผู้หญิงในเผ่านำมาทกซุปดื่มกินกัน
.
.
ส่วนชาวเอสกิโม มีการพาบรรพบุรุษที่มีอายุมากและใกล้เสียชีวิตขึ้นไปอยู่บนยอดเขาที่มีอากาศหนาวเย็นและปล่อยให้เสียชีวิตด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าเป็นการสร้างความสบายใจให้กับคนแก่ที่ไม่อยากเป็นภาระกับลูกหลาน เป็นการเดินเข้าสู่ความตายอย่างสง่างาม
.
.
ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อน หลีกเลี่ยงการ สร้างมลพิษ และฝุ่นPM 2.5จากการเผา มีคนนำเสนอวิธีรีไซเคิลศพ ด้วยการนำศพไปย่อยเป็นดิน เพื่อปลูกต้นไม้ เป็นการลดโลกร้อนไปในตัว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจมากๆในยุคปัจจุบัน อยากจะแปลงร่างของผู้ตายให้เป็นปุ๋ยเพื่อปลูกต้นไม้ชนิดต่างๆเป็นไม้ผลก็ได้เป็นไม้ดอกก็ได้ แต่ในประเทศที่ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายเข้มข้นอย่างคนไทยเราอาจจะต้องใช้เวลาปรับความคิดกับเรื่องนี้กันนานสักหน่อย
.
.
เพราะบางคนยังเชื่อว่าการบริจาคอวัยวะจะทำให้ชาติหน้ากลายเป็นคนพิการไม่มีอวัยวะส่วนนั้น ซึ่งผมเห็นตรงกันข้ามเลยครับผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้วแต่ไปต่อชีวิตให้กับคนอื่นได้มันช่างมีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล
.
.
ส่วนตัวผมอยากบริจาคอวัยวะที่ยังมีประโยชน์กับคนอื่นก่อนส่วนที่เหลือค่อยนำไปปลูกต้นไม้เป็นการรีไซเคิลขยะชิ้นใหญ่นี้ให้คุ้มค่าที่สุด
.
.
แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับอยากเอาศพตัวเองไปทำอะไรดี คิดกันไว้บ้างรึยัง
Nat KUN ผมบริจาคทั้งตัวครับ เพื่อใช้ร่างเป็นการประกอบการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์ครับ
12 พ.ย. 2562 เวลา 13.23 น.
👍😊 เห็นด้วย ตายไปแล้วไม่ได้ใช้แล้ว เอาไปทำประโยชน์ คืนให้โลกให้สังคมดีที่สุด
13 พ.ย. 2562 เวลา 04.04 น.
Cornzilla สร้างเป็นอนุเสาวรี และฝังในปิรมิดขนาดเท่าสนามฟุตบอบครับ
เอิ้ก จะทำอะไรก็เวียนสู่วัฏอยู่ดี
12 พ.ย. 2562 เวลา 13.36 น.
TookTa EiEi 879 เมื่อตาย..ซากก็เน่าเสีย..พกติดตัวไปก็ไม่ได้เผาทิ้งก็เสียเปล่า..โดยส่วนตัวบริจาคอวัยวะ..ทุกส่วนที่ดี..และยังบริจาคร่างให้รพ.จุฬาแล้วหลายปีเพื่อจะได้เปนประโยชน์กับคนอื่นและวงการแพทย์
12 พ.ย. 2562 เวลา 12.15 น.
ณัฐเชษฐ์ ธรรมชาติของสังคมจะจัดการคุณหลังตายเอง ตายคือตายจบลง ทุกคนตายมีประโยชน์หมดสุดท้ายถูกธรรมชาติย่อเป็นสสารกลับสู่ธรรมชาติหมดทุกคน ไม่ทางใดก็ทางนึง
12 พ.ย. 2562 เวลา 13.23 น.
ดูทั้งหมด