"กอริลลา" ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นหรือพละกำลังมหาศาลเท่านั้น กอริลลาคือพี่น้องร่วมสายเลือดของมนุษย์ด้วย DNA ที่ใกล้เคียงกันถึงร้อยละ 98.3 พวกมันสามารถหัวเราะ ร้องไห้ เศร้าเหมือนกับมนุษย์อย่างเรา พวกมันเล่นกับลูก ๆ อย่างอ่อนโยนและร้องเรียกหากันเมื่อหลงทางในป่า
แต่พวกมันไม่อาจหลบหนีการคุกคามของมนุษย์จากการล่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เลย
คำว่า "กอริลลา" มาจากบันทึกของนักเดินเรือชาวคาร์เธจชื่อ ฮันโน (Hanno) เมื่อเขาเดินทางสำรวจชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกาเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน เขาได้พบสัตว์ชนิดนี้และแปลชื่อท้องถิ่นเป็นภาษากรีกโบราณว่า gorillai ซึ่งแปลอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า "คนขนดก"
ป่าเขตร้อนที่เคยเขียวขจี ซึ่งเป็นบ้านของกอริลลา กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและเหมืองแร่ พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงร้องของพวกมัน บัดนี้กลับมีเพียงเสียงเครื่องจักร ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่าจะพบเพียงรังเปล่าที่เคยเป็นที่พักของพวกมันแค่นั้น ครอบครัวกอริลลาหลายกลุ่มแตกสลาย บางกลุ่มถูกพรากลูกน้อยไปขายเป็นสัตว์เลี้ยงผิดกฎหมาย ขณะที่พ่อแม่ของพวกมันล้มลงด้วยน้ำมือของนายพราน
อ่านข่าว : ใครสั่ง! "ลูกกอริลลา" ปลายทางเข้าไทย ยึดคาสนามบินอิสตันบูล
"กอริลลา" เป็นสัตว์สังคมและอาศัยอยู่ในกลุ่มครอบครัวที่เรียกว่า "กองทัพ หรือ troop" ที่มีประชากรกอริลลาประมาณ 5-10 ตัว แต่บางกองทัพอาจมีสมาชิกมากถึง 50 ตัว มีตัวผู้โตเต็มวัยที่เรียกว่า ซิลเวอร์แบ็ก (silverback) เป็นผู้นำและจับคู่กับตัวเมียในกลุ่ม ลูกกอริลลาจะอยู่กับกองทัพจนกระทั่งโตเต็มวัย จากนั้นตัวผู้ทั้งหมดและตัวเมียประมาณร้อยละ 60 จะย้ายไปเข้ากองทัพใหม่เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน
กอริลลาไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อของความโลภ แต่ยังตกเป็นเป้าหมายของโรคร้าย โรคที่มนุษย์นำเข้าไปในป่า ทำให้ประชากรของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน อัตราการเกิดของกอริลลานั้นต่ำอย่างน่าใจหาย ตัวเมียจะมีลูกเพียง 1 ตัวทุก ๆ 4-6 ปี และแม่กอริลลาจะใช้เวลาเลี้ยงดูลูกด้วยความรักอย่างทุ่มเท
แต่ไม่ว่าความรักนั้นจะมากเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันจากโลกภายนอกที่ไม่ยอมหยุดยั้ง
ในป่าที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ กอริลลาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ พวกมันกินผลไม้ กระจายเมล็ดพันธุ์ และช่วยรักษาสมดุลของป่า ประชากรกอริลลาแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่ กอริลลาตะวันออก และ กอริลลาตะวันตก ทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน โดยมีระยะทางเพียง 560 ไมล์ของป่าที่กั้นระหว่างพวกมัน ทั้ง 2 ชนิดนี้ยังถูกแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่
- กอริลลาตะวันออกสายพันธุ์ราบลุ่ม
- กอริลลาตะวันออกสายพันธุ์ภูเขา
- กอริลลาตะวันตกสายพันธุ์ราบลุ่ม
- กอริลลาตะวันตกสายพันธุ์ครอสริเวอร์
ปัจจุบัน กอริลลาตะวันออกเหลือเพียง 2,600 ตัวในโลก พวกมันไม่สามารถพูดเพื่อปกป้องตัวเอง การสูญเสียกอริลลาไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือการสูญเสียประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ และสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนถึงความงดงามและความโหดร้ายของโลกเรา
เสียงสะท้อนจากป่าเรียกหาเราในวันนี้ เรียกร้องให้เรายื่นมือออกไปก่อนที่มันจะสายเกินไป เราอาจไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด แต่เราสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้ หากเราเลือกที่จะปกป้องพวกมัน เลือกที่จะรักษาป่าที่พวกมันเรียกว่าบ้าน เลือกที่จะไม่ปิดตาและเดินผ่านเสียงสะอื้นที่เราทำให้เกิดขึ้น
"แม่ถูกฆ่า ลูกถูกขาย" ในตลาดมืด
การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายเป็นโศกนาฏกรรมที่สะท้อนถึงความโหดร้ายในธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์ป่าที่ถูกนำมาขาย ไม่ว่าจะเป็น กอริลลา อุรังอุตัง ชะนี ตัวนิ่ม หรือสัตว์ชนิดอื่น ล้วนแต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและความสูญเสียที่เกินจะจินตนาการ
หนึ่งในความจริงที่น่าสลดใจที่สุดของการค้าสัตว์ป่า คือ วิธีที่นายพรานใช้ในการจับลูกสัตว์ พวกเขาต้องฆ่าแม่เสียก่อน
ในโลกของสัตว์ป่า แม่คือผู้ปกป้องที่ไม่เคยยอมปล่อยลูกไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม กอริลลาแม่ลูกอ่อนจะกอดลูกไว้แนบอกจนวินาทีสุดท้าย แม้ต้องเผชิญกับความตาย พรานป่าที่ต้องการลูกของพวกมันไปขายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฆ่าแม่ก่อน อุรังอุตัง ชะนี และสัตว์แม่ลูกอ่อนอื่น ๆ ก็เช่นกัน แม่จะปกป้องลูกด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ยอมถอย ทำให้การพรากลูกมาจากอกแม่เป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย
สัตว์บางชนิด เช่น ตัวนิ่ม จะถูกจับด้วยวิธีการที่โหดร้ายไม่แพ้กัน พรานป่าจะรมควันในโพรงหรือรังที่พวกมันซ่อนตัว ทำให้พวกมันขาดอากาศหายใจและถูกบังคับให้ออกมา บางตัวที่ตั้งท้อง เช่น นิ่มตัวหนึ่งที่ได้รับการช่วยเหลือในอินโดนีเซีย ถึงกับคลอดลูกก่อนกำหนดเพราะความเครียดและบาดแผลที่ได้รับ สุดท้ายลูกนิ่มตาย
สัตว์ที่รอดชีวิตจากการค้าผิดกฎหมาย มักต้องเผชิญกับชีวิตที่ไม่สมบูรณ์อีกต่อไป บางตัวถูกขายไปเป็นสัตว์เลี้ยงให้กับผู้ที่มองว่าการมีสัตว์ป่าไว้ในบ้านเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย บางตัวถูกส่งไปยังสถานที่บันเทิงที่บังคับให้พวกมันทำการแสดงเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับนักท่องเที่ยว
แต่เบื้องหลังนั้นคือความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่ติดอยู่ในหัวใจของพวกมันไปตลอดชีวิต
การค้าสัตว์ป่าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของสัตว์ที่ถูกจับเท่านั้น แต่มันยังทำลายครอบครัวของพวกมันในธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง มันค่อย ๆ กัดกร่อนจำนวนประชากรในธรรมชาติ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เคยมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศค่อย ๆ สูญหายไป โลกที่ปราศจากเสียงร้องของ กอริลลา อุรังอุตัง หรือลูกชะนีที่ไม่มีแม่ให้โอบอุ้ม คือโลกที่เต็มไปด้วยความเงียบงันของความสูญเสีย
ความจริงอันโหดร้ายนี้ทำให้มนุษย์ต้องตระหนักว่า การสนับสนุนการค้าสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อลูกสัตว์ไปเลี้ยงหรือการเยี่ยมชมสถานที่ที่ใช้สัตว์ป่าทำการแสดง ล้วนแต่เป็นการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่แห่งความเจ็บปวดนี้ สัตว์ป่าควรอยู่ในธรรมชาติของพวกมัน ไม่ใช่ในกรงขังหรือในบ้านของเรา
เพราะทุกตัวที่ถูกขาย มีแม่ที่ต้องสละชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องลูกในอ้อมแขน
อ่านข่าว :
Miu Nithinun จิตใจคนทำไมโหดร้ายขนาดนี้
25 ธ.ค. 2567 เวลา 14.29 น.
Ann (◕‿◕) คนนี่แหละ คือสัตว์ที่โหดร้ายที่สุดในโลก
26 ธ.ค. 2567 เวลา 04.29 น.
Kampol มันบัดซบจริงๆ
พวกล่าฆ่า ค้าขายสัตว์ป่า
26 ธ.ค. 2567 เวลา 04.58 น.
Siri เป็นที่อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก
26 ธ.ค. 2567 เวลา 04.18 น.
puihyperyelly แล้วที่ไทย ใครสั่งซื้อ? นักข่าวจิกตามไปสัมภาษณ์ที่บ้านมัน ครอบครัวมันหน่อย!! เอามาทำไม??
26 ธ.ค. 2567 เวลา 02.48 น.
ดูทั้งหมด