เมื่อวันที่ 28 พ.ค. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีติดตามกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากเจ้าของโรงแรม ที่เป็นสถานที่กักตัวกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 ของรัฐ (State Quarantine) จ.ชลบุรีว่า ตนได้ลงพื้นที่พบผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ภาคตะวันออกที่จัดเป็น State Quarantine เมื่อที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการได้ให้ข้อมูล รายชื่อ และไลน์ที่ได้พูดคุยในการเรียกรับเปอร์เซ็นต์ เงื่อนไขต่างๆ จึงได้ส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้ พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 แล้ว ขั้นตอนจากนี้เป็นการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป ตนจึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
ทั้งนี้กรณี ดังกล่าวมีผู้เสียหายทั้ง 3 ส่วน คือ ผู้ประกอบการโรงแรมที่ไม่ได้รับค่าห้องพักเต็มราคา ผู้กักตัวอาจถูกตัดปริมาณอาหาร หรือไม่ได้รับบริการอย่างเต็มที่ และรัฐที่ได้รับความสูญเสียในเรื่องงบประมาณ และภาพลักษณ์ในการจัดหาพื้นที่ State Quarantine จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งดูแลในภาพรวมต้องค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลังผลประโยชน์ และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบและขยายผล
“ถ้าพบว่าทหาร ตำรวจ หรือเป็นคนของกระทรวงสาธารณสุขก็ให้จัดการให้หมด ผมบอกผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่ 2 และพล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าต้องเปิดเผยเลยว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวใหญ่ เบอร์ใหญ่ขนาดไหนก็ต้องเปิดออกมา เพราะเป็นเรื่องตัวบุคคลที่ไปแสวงหาผลประโยชน์ ในขณะที่องค์กรและรัฐมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาในเรื่องโควิด -19” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ภายหลังที่กระทรวงกลาโหมส่งมอบหลักฐานและรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่กักตัวของคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศนั้น มีการตั้งพนักงานสอบสวน มีรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ชลบุรี และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา รวมถึงชุดพนักงานสอบสวนร่วมกันหาข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นมีผู้เกี่ยวข้อง 9 ราย เป็นเซลล์ติดต่อกับผู้ประกอบการโรงแรมโดยตรง
สำหรับขั้นตอนในการเลือก State Quarantine ในเดือนเม.ย.นั้น เริ่มจาก 1.กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์เชิญชวนเอกชน ผู้ประกอบการ โรงแรมที่พัก พร้อมแจ้งคุณสมบัติ และความต้องการ รวมถึงราคาห้องพักไปทางช่องทางต่างๆ 2. ผู้ประกอบการเสนอตัวเข้ามาทางเว็บไซต์ว่ามีคุณสมบัติตามกรอบที่กำหนด 3.กระทรวงสาธารณสุขส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสเปค ถ้าผ่านขั้นตอนนี้
4.ชุดของทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขจะลงพื้นที่ไปดูเรื่องการวางระบบการรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการ 5.รอการแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งเที่ยวบินและจำนวนคนที่จะส่งไปโรงแรม ในช่วงแรกที่โรงแรมที่เสนอตัวเข้ามา พบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ไม่ผ่านคุณสมบัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพราะไม่มีใบอนุญาต หรือใบอนุญาตไม่ถูกต้อง ทำให้หาโรงแรมได้ไม่เพียงพอ อีกทั้งมีคนไทยที่อยู่ต่างประเทศลงทะเบียนขอกลับประเทศเป็นจำนวนมาก พบว่าจนถึงกลางเดือนมิ.ย มียอดผู้ลงทะเบียนถึง 1.5-2 หมื่นคนต่อเดือน
“ปริมาณห้องพักในการรองรับผู้เดินทางกลับมีแค่วันละ 200 คน รัฐจึงอยากขยายการหาห้องพักให้ได้วันละ 400 คน ดังนั้นจึงต้องเร่งหาโรงแรมเอกชนเพิ่ม ทำให้ช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมามีการไปพูดกันแบบปากต่อปากอย่างไม่เป็นทางการว่าให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยกันหา ใครรู้จักโรงแรมไหนก็ให้เสนอมา ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ให้เครือข่าย โดยเฉพาะนายหน้า หรือเซลล์ ซึ่งรู้ข้อมูลในพื้นที่มาติดต่อ และรับไปประสานงานกับผู้ประกอบการ และเรียกรับหัวคิว” แหล่งข่าวรายเดิมระบุ.
กิตติพงษ์ โคตรวงศ์ 555 ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่ามีจริง เพราะหาวิธีเลี่ยงไม่ได้
29 พ.ค. 2563 เวลา 08.08 น.
poolsawas ย้ายเชียงใหม่ไปอยู่ภูเก็ตมันยังง่ายกว่ามั้ยอ่ะ
29 พ.ค. 2563 เวลา 07.41 น.
peerinkub พวกมึงโกงเอง ตรวจเอง พอเรื่องเงียบ แม่งก็รอดทุกราย ที่สุดแล้ว ยุคนี้
29 พ.ค. 2563 เวลา 04.26 น.
Ampan 0806 บอกเลย ประเทศไทย เป็นประเทศหนึ่งที่มีข้าราชการคอรัปชั่นมาก ๆ
29 พ.ค. 2563 เวลา 01.21 น.
แดกทุกขั้นตอนจริงๆ รัฐบาลชุดนี้
28 พ.ค. 2563 เวลา 15.43 น.
ดูทั้งหมด