คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 มีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังขยายเพดานการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 8% มติดังกล่าวทำให้เพดานการก่อหนี้ของรัฐบาลเพิ่มจาก 1.5 แสนล้านเป็น 2.4 แสนล้าน หรือเพิ่มขึ้น 9 หมื่นล้านบาท
“การขยายเพดานก่อหนี้ผูกพันครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการขยายวงเงินเพื่อรองรับการลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. เงินลงทุน 224,544 ล้านบาท ที่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) เป็นผู้ได้รับคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาวันที่ 28 พฤษภาคมนี้” แหล่งข่าวระดับสูงจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)กล่าวว่า สาเหตุที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ขยายเพดานการก่อหนี้ผูกพันระหว่างปีเพิ่มจาก 5% เป็น 8% เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐจำนวนมาก ซึ่งหลายโครงการเป็นลักษณะการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน(PPP) ที่ไม่สามารถใช้การกู้เงินที่สามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบวงเงินกู้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ได้ตามการลงทุนปกติ แต่ภายใน 3 ปีจะต้องขยับวงเงินกลับมาที่เดิมคือ 5% ของงบประมาณรายจ่าย
ประจำปี
“เพดานการก่อหนี้ผูกพัน ไม่ได้มีเพดานกำหนดไว้ แต่ให้คณะกรรมการพิจารณาอัตราที่เหมาะสม ซึ่งช่วงคณะกรรมการเห็นว่า 5% หรือ 1.5 แสนล้านบาทเป็นอัตราที่เหมาะสมในขณะนั้น และเราคาดว่าจะอยู่ภายใต้กรอบเงินกู้ของสบน. แต่เมื่อมาดูยุทธศาสตร์การลงทุนของรัฐบาลแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพีพีพี ซึ่งสบน.บอกว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์การกู้เงิน เราจึงต้องขยายเพดานกู้ให้ครอบคลุมการลงทุนเหล่านี้ด้วย และไม่ใช่การขยายเพดาน เพื่อเพิ่มวงเงินกู้ให้กับรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศด้วย แต่กลับทำให้วงเงินกู้ของรัฐบาลใหม่น้อยลงด้วย เพราะเป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้”นายลวรณกล่าว
ด้านนายประภาส คงเอียด ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า โครงการพีพีพีเหมือนการกู้เงินเพื่อให้เอกชนนำเงินไปลงทุนก่อน ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบการกู้เงินของสบน. ขณะเดียวกันแม้โครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงรัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนในปีที่ 6 หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 5 ปีแต่ในวิธีการงบประมาณให้คิดการก่อหนี้ปีเดียว จึงทำให้เต็มเพดานการก่อหนี้ ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเห็นว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเงินที่จะจ่าย จึงให้เพิ่มเพดานการก่อหนี้ให้สอดคล้องกันและเห็นว่า หากจ่ายได้เร็วจะทำให้ประหยัดเงินงบประมาณในส่วนของดอกเบี้ยได้ เพราะในร่างทีโออาร์ไม่ได้ห้ามไว้ และไม่ได้แก้ไขทีโออาร์อะไรเลย
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,473 วันที่ 26 - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
Wa M`Prapassaro คนพวกนี้เค้าจะเกิดมาเพื่อแค่ทำความชิบหายๆๆ ให้แก่แผ่นดินบ้านเกิด แล้วก็แก่ ตาย จากโลกนี้ไป แค่นี้จริงๆเหรอ เวทนาชิบผาย
27 พ.ค. 2562 เวลา 01.12 น.
Nattapong สงสารรุ่นลูกหลานว่ะ แม่งหาเงินไม่เป็นสร้างแต่หนี้
26 พ.ค. 2562 เวลา 14.33 น.
Wut ดีแต่กู้.... สุดท้ายใครเป็นคนใช้หนี้
ปชช ได้ใช้หนี้ที่มันก่อกันชั่วลูกชั่วหลาน
สุดท้าย สส รวยกระจุก ปชชจนกระจาย
26 พ.ค. 2562 เวลา 14.19 น.
Another Dimension 1.ใครใช้หนี้?
2. ใครได้ 70-30?
26 พ.ค. 2562 เวลา 13.38 น.
กอล์ฟ{ทวีชัย} เตีรยมไง้ชดเชย ที่เข้าห้องน้ำ เมื่อวานซินะ
26 พ.ค. 2562 เวลา 13.37 น.
ดูทั้งหมด