มีหลายเหตุผล หลายปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งตัดสินใจลาออกหรือเปลี่ยนงาน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เมื่อตัดสินใจลาออกแล้ว ไม่ใช่จะออกไปเฉย ๆ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่ยังมีเรื่องที่ต้องรู้อีกสารพัดสิ่ง โดยเฉพาะคนที่ลาออกโดยที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับ ยิ่งต้องรู้ให้เยอะว่าคุณมีสิทธิ์อะไรบ้าง และใช้สิทธิ์เหล่านั้นให้คุ้มค่าที่สุด
เรื่องที่ต้องรู้ก่อนลาออก
ก่อนเข้าทำงานหลายคนผ่านการเซ็นสัญญากับบริษัทว่าหากจะลาออกต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน 15 บ้าง 30 บ้าง แต่รู้หรือไม่ จริง ๆ แล้วตามกฎหมายแรงงานไม่ได้บังคับต้องแจ้งล่วงหน้าใด ๆ เลย แต่ที่หลายบริษัทมักกำหนดไว้ให้แจ้งล่วงหน้าก็เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมหาคนมาแทน และจัดการงานส่วนที่เรารับผิดชอบให้เสร็จสิ้น เรียกว่าเป็นมารยาทในการทำงานที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนพึงกระทำเสียมากกว่า
โดยหลักการแล้ว เมื่อเรายื่นจดหมายลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรเรียบร้อย ก็ถือว่าการลาออกเป็นอันสมบูรณ์ มีผลทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอการอนุมัติใด ๆ จากนายจ้าง แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานแบบสัญญาจ้างที่มีระยะเวลาในการทำงานกำหนดอยู่ในสัญญา คุณไม่สามารถลาออกได้ทันทีก่อนครบกำหนดสัญญา ดังนั้นเมื่อต้องการลาออกจำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าและรอการอนุมัติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายละเมิดสัญญาและอาจต้องจ่ายค่าชดเชยเนื่องจากทำให้บริษัทเสียหายได้
อย่าลืมเงินทดแทนกรณีว่างงาน
หลายคนมักคิดว่าสิทธิประกันสังคมเป็นอะไรที่เล็กน้อย ยิบย่อย และไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่..จริง ๆ แล้วประกันสังคมเป็นสิทธิพื้นฐานที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรู้ ต้องเข้าใจ และเอาประโยชน์จากสิทธิเหล่านี้มาใช้อย่างเต็มที่ บางคนถึงขั้นไม่เคยใช้ ไม่รู้เลยได้แต่ส่งเงินเข้ากองทุนทุกเดือน ๆ ละตั้งหลายบาท
แม้คุณจะไม่อยากใช้สิทธิรักษาพยาบาลเพราะขี้เกียจไปต่อคิว แต่ยังไงสิทธิของเรา เราก็ต้องใช้ โดยเฉพาะกรณีที่คุณออกจากงานแล้วยังหางานใหม่ไม่ได้ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสิทธิได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานด้วย โดยจะต้องไปขึ้นทะเบียนว่างงานภายใน 30 วันหลังออกจากงาน หรือลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน ซึ่งในกรณีที่ลาออกเองจะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างเป็นเวลา 3 เดือนหรือประมาณ 13,500 บาท/ปี และหากถูกเลิกจ้างจะได้รับ 50% ของค่าจ้างเป็นเวลา 6 เดือน หรือประมาณ 45,000 บาท/ปี
ที่สำคัญคือเงินทดแทนกรณีว่างงานไม่ได้จ่ายให้รวดเดียวเป็นก้อน แต่จะต้องรายงานตัวทุกเดือนเพื่อรับรองสถานะว่าคุณยังว่างงานอยู่จริง โดยสามารถรายงานตัวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมจัดหางานก็ได้เช่นกัน
สิทธิประกันสังคมทำต่อเนื่องไว้ก็ดี
อย่างที่รู้กันว่ามนุษย์เงินเดือนทุกคนจะได้รับสิทธิประกันสังคมเหมือนกันหมด ได้แก่ กรณีเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน เพราะฉะนั้นอย่าคิดแต่ว่าสิทธิประกันสังคมเป็นเรื่องเล็กน้อยยุ่งยากเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่อยากจบสถานะมนุษย์เงินเดือน ทั้ง ๆ ที่ส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมมาก็หลายปี ขอให้นึกถึงผลประโยชน์กรณีชราภาพไว้หน่อย แก่ตัวไปเมื่อไหร่ อย่างน้อยคุณก็ยังมีเงินบำเหน็จไว้ใช้ทุกเดือน
สำหรับคนที่ไม่คิดจะเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกต่อไป หลังจากรับเงินทดแทนกรณีว่างงานไปแล้ว 3 เดือน สเต็ปต่อไปก็คือถ้าอยากคงสถานะผู้ประกันตนไว้ คุณจะต้องไปยื่นเรื่องเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจในมาตรา 39 ภายใน 6 เดือนหลังออกจากงาน ซึ่งมาตรา 39 นี้ สำหรับผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 มาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ผู้ประกันตน มาตรา 33 คือมนุษย์เงินเดือนทั่วไปที่ส่งเงินประกันสังคมทุกเดือน) และจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 432 บาท โดยรัฐบาลจะช่วยสมทบอีก 120 บาท/เดือน ซึ่งจะได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ (รายละเอียดผู้ประกันตน มาตรา 39)
จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการที่นายจ้างมีให้ ทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ได้ออมเงินอย่างต่อเนื่องในระยะยาวไว้ใช้ยามเกษียณหรือลาออกจากงาน แต่เมื่อลาออกจากงานแล้วจะจัดการกับเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไร
ทุกบริษัทจะกำหนดให้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือนในอัตรา 2-15 % ของรายได้ และบริษัทจะจ่ายเงินสมทบให้อีกในแต่ละเดือนในอัตรา 2-15 % เช่นกัน ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปบริหารจัดการโดยมืออาชีพเพื่อให้งอกเงยมากขึ้น และหากลาออกจากงานก็จะได้รับเงินที่จ่ายเข้ากองทุนฯ คืน ส่วนเงินสมทบของนายจ้างและผลตอบแทนจะได้คืนเป็นสัดส่วนตามอายุงาน เช่น อายุงาน 5 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับเงินสมทบ 100% เป็นต้น
โดยปกติเมื่อลาออกจากงานแล้วจะหมายถึงการสิ้นสุดสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทันที และเงินที่จ่ายเข้ากองทุนฯ จะถูกคำนวณคืนให้ตามสัดส่วนและตามอายุงานเป็นเช็คหรือเงินโอนเข้าธนาคาร แต่ถ้ายังไม่อยากเอาเงินออมจำนวนนี้ออกมาใช้ หรือรอให้ได้งานใหม่ก่อนแล้วค่อยย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมไปไว้ที่กองทุนฯ ใหม่ของที่ทำงานใหม่เลยก็ได้ โดยจะต้อง แจ้งคงเงินเอาไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมเอาไว้ก่อนผ่านแบบฟอร์มขอคงเงินไว้ในกองทุนปัจจุบัน ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมคงเงินไว้ในกองทุนประมาณ 700 บาท
นอกจากการเงินไปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใหม่แล้ว เรายังสามารถย้ายเงินไปยังกองทุน RMF ได้ด้วย เพราะไหน ๆ เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็คือเงินไว้ใช้ยามเกษียณอยู่แล้ว การย้ายไปยังกองทุน RMF ก็เป็นการตอบโจทย์ที่ดี แม้จะไม่ได้ผลประโยชน์ทางภาษี แต่ก็ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ อีกทั้งสามารถถอนเงินในส่วนนี้ได้โดยไม่ต้องเสียภาษี เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรู้ และต้องทำความเข้าใจ อย่าคิดแค่ว่าลาออกไปก่อน เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้เอง ที่สำคัญอย่าลืมว่าอะไรที่เป็นสิทธิของเรา เราต้องรักษาไว้อย่างเต็มที่
k.odd เวลาถูกหัก...หักเอา.หักเอา
ถึงเวลา.จะรับ.ยาดเย็น.แสนเข็ญ
ขั้น.ตอน..หมื่นแสน.ขั้นตอน
21 ก.พ. 2561 เวลา 14.09 น.
ฉัตรชัย ครับ ตอนหักนี่ไท่ถามซ็ากคำ ..พอจะใช้สิทธิ์ นี่ ขั้นตอนเหมือน ผู้ต้องหาขอประกันตัว
21 ก.พ. 2561 เวลา 14.31 น.
warn อ่านข้อความแล้วง๊ายง่าย แต่พอตอนไปขอรับสิ อ้างสารพัดร้อยแปดพันเก้า นั่นก็เกินเวลา นี่ก็ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ โครตหลายขั้นหลายตอน เอาไปเอามาไม่ได้สักบาท หึหึ
21 ก.พ. 2561 เวลา 15.00 น.
xxx ไม่เคยสนใจ อยากออกก็ออกเลย ยื่นใบลาออกปุ๊บก็เดินออกจากบริษัทเลย แคร์อะไร
22 ก.พ. 2561 เวลา 00.16 น.
หนุ่ย เด็กพิเศษ ทั้งหมด ยกเว้นลูกจ้างราชการ
22 ก.พ. 2561 เวลา 06.04 น.
ดูทั้งหมด