In focus
- ทุกการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล งานคอนเสิร์ต หรือการแข่งขันกีฬาเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ (ไม่เฉพาะเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่) เพราะคนมากหน้าหลายตาจะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกันในระยะ 1-2 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ไอจามรดกันได้ และอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง
- ระดับความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรม ระยะห่าง ระยะเวลา รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันตัว
- เท่าที่สังเกต ลักษณะของสถานที่ชุมนุม นักศึกษาได้รวมตัวกันที่สนามหรือลานกิจกรรมภายนอกตัวอาคาร ซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวก ทำให้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการรวมตัวกันในห้องประชุม ประกอบกับพื้นที่นั้นยังรองรับคนจำนวนมากได้ ซึ่งลดความแออัดลง ทำให้ความเสี่ยงลดลงอีก แต่ไม่ถึงกับเป็นศูนย์
- การจัดการความเสี่ยงของการระบาดโรคโควิด-19 ในที่ชุมนุมจะต้องอาศัยความร่วมมือ 2 ฝ่าย ทั้ง ‘ผู้จัดการชุมนุม’ และ 'ผู้เข้าร่วมชุมนุม' หรือในอีกแง่หนึ่งคือการออกแบบ 'โครงสร้าง' ให้มีสุขาภิบาลที่เหมาะสม และการดูแลสุขอนามัยส่วน 'บุคคล' ที่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการความเสี่ยงได้ไม่เต็มที่ก็จะมีอีกฝ่ายรองรับได้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ได้มีการรวมตัวกันของนักศึกษาเพื่อความเห็นทางการเมืองในหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ท่ามกลางข่าวการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในประเทศและทั่วโลก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจึงได้ออกมาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ครอบคลุมถึงการชุมนุมของนักศึกษาด้วยว่า “ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการชุมนุมนักศึกษาหรือบุคลากรในสังกัดกระทรวงฯ เป็นจำนวนมาก” ซึ่งอาจถูกมองได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ
ทำให้ผมนึกถึงการตอบคำถามสื่อมวลชนของ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 22 ก.พ. ว่า “ทั้ง 2 เรื่อง (การจัดงาน MotoGP และการชุมนุมทางการเมืองหลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ) จริงๆ เป็นลักษณะเดียวกัน ก็คือจะมีการรวมตัวกันของคนเป็นจำนวนมาก ถามว่าเพิ่มความเสี่ยงไหม เพิ่มความเสี่ยงอย่างชัดเจน คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้ไหม ความเสี่ยงที่สูงไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับความเสี่ยงได้หรือเปล่า”
ยกตัวอย่าง ‘แพทย์หรือพยาบาล’ ที่จะต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยในห้องแยกโรคทุกวัน ถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่เขาสวมหน้ากากอนามัย และสวมชุดป้องกันคล้ายกับ ‘ชุดอวกาศ’ มิดชิด เดินเข้าไปในห้องแยกโรคซึ่งเป็นห้องความดันลบ (negative pressure) ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจึงลดลง
ความเสี่ยงของการติดเชื้อในที่ชุมนุม
ทุกการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล งานคอนเสิร์ต หรือการแข่งขันกีฬาเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ (ไม่เฉพาะเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่) เพราะคนมากหน้าหลายตาจะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกันในระยะ 1-2 เมตรซึ่งเป็นระยะที่ไอจามรดกันได้ และอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ปิดละอองน้ำมูกน้ำลายก็จะค้างอยู่ในบริเวณนั้นนานก็จะทำให้ติดต่อกันได้อีกหลายคน โดยจะเห็นว่าระดับความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรม ระยะห่าง ระยะเวลา รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันตัว
ซึ่งเท่าที่สังเกตการณ์ลักษณะของสถานที่ชุมนุมจากสำนักข่าวออนไลน์ นักศึกษาได้รวมตัวกันที่สนามหรือลานกิจกรรมภายนอกตัวอาคาร ซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวก ทำให้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการรวมตัวกันในห้องประชุม ประกอบกับพื้นที่นั้นยังรองรับคนจำนวนมากได้ ซึ่งลดความแออัดลง ทำให้ความเสี่ยงลดลงอีก แต่ไม่ถึงกับเป็นศูนย์
การจัดการความเสี่ยงของการชุมนุม
ผมขอสรุปจาก “คำแนะนำการป้องกันควบคุมโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สำหรับสถานที่มีการรวมกันของคนหมู่มาก”ของกรมควบคุมโรค ฉบับวันที่ 28 ม.ค. 2563 และเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่นว่า การจัดการความเสี่ยงของการระบาดโรคโควิด-19 ในที่ชุมนุมจะต้องอาศัยความร่วมมือ 2 ฝ่าย ทั้ง ‘ผู้จัดการชุมนุม’ และ ‘ผู้เข้าร่วมชุมนุม’ หรือในอีกแง่หนึ่งคือการออกแบบ ‘โครงสร้าง’ ให้มีสุขาภิบาลที่เหมาะสม และการดูแลสุขอนามัยส่วน ‘บุคคล’ ที่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการความเสี่ยงได้ไม่เต็มที่ก็จะมีอีกฝ่ายรองรับได้ กล่าวคือ
ผู้จัดการชุมนุม
1. พิจารณาถึงความ ‘จำเป็น’ ของการจัดงานก่อนว่าสามารถเลื่อน หรือปรับเปลี่ยนแผนได้อย่างไรหรือไม่
2. หากเลื่อนไม่ได้จะต้องจำกัดช่องทางการเข้า-ออกงาน เพื่อให้สามารถคัดกรอง ‘ผู้ป่วย’ ไม่ให้เข้าปะปนกับผู้ที่ยังไม่ป่วย ซึ่งในกรณีนี้คือการคัดกรองควรใช้เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิคล้ายกับการคัดกรองผู้โดยสารที่สนามบิน และขอความร่วมมือให้ผู้ป่วยแยกตัวกลับบ้าน/หอพัก
3. จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อ ได้แก่ หน้ากากอนามัยให้เพียงพอ (ถ้าไม่พอ อาจเลือกแจกเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ) และเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือก่อนเข้าร่วมงานและตามจุดที่จะมีการสัมผัสร่วมกัน เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ลงชื่อหรือเขียนแสดงความเห็น ไมโครโฟน
ส่วนผู้เข้าร่วมชุมนุม
1. ถ้ามีอาการป่วย ได้แก่ ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ ต้องงดเข้าร่วมกิจกรรม แม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อย จะไม่ได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นและจะได้พักผ่อน เมื่อหายดีแล้วจึงค่อยไปร่วมงาน
2. ล้างมือหลังจากสัมผัสกับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกัน ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ หากไม่สามารถล้างมือได้ให้ระวังไม่เอามือมาสัมผัสกับตา จมูก ปาก
3. สวมหน้ากากอนามัย เพื่อความประหยัดอาจเลือกเป็นหน้ากากผ้าก็ได้
4. สังเกตอาการของผู้เข้าร่วมชุมนุม หากพบอาการผิดปกติให้ติดต่อจุดปฐมพยาบาล หรือเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรจากผู้มีอาการ
และ 5. อย่าลืมโรคติดต่ออื่นที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคอาหารเป็นพิษ หรือโรคไวรัสตับอักเสบ ด้วยการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก และไม่ดื่มน้ำร่วมแก้วกัน รวมถึงผู้จัดหาอาหารจะต้องมีสุขาภิบาลอาหารด้วย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการจัดการชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 จึงควรคำนึงถึง ‘ความจำเป็น’ ของการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และ ‘ความเสี่ยง’ ของการแพร่เชื้อไวรัสทางเดินหายใจ ซึ่งถ้าหากจะต้องจัด ก็ต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ เพราะสุขภาพของนักศึกษาก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตามถ้าหากประเทศไทยมีการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้างหรือระยะที่ 3 แล้ว ผู้จัดการชุมนุมควรประเมินรูปแบบการชุมนุมที่เหมาะสมอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
Archangel Que ชุมนุมตอนเที่ยงสิ
29 ก.พ. 2563 เวลา 06.37 น.
♾tom19🎱5♾ #สลิ่ม!oลายพรางสางเขียว ตึม
29 ก.พ. 2563 เวลา 05.47 น.
Kittisak V. ชุมนุมกันเยอะๆ นะ ปล.โชคดี
29 ก.พ. 2563 เวลา 05.39 น.
Jew1565 อย่าไปชุมนุมประท้วงกันเลย เสี่ยงcovid19 แล้วยังเสี่ยงหลายอย่างตามมา แต่ผู้นำกาประท้วงมักพ้นหรือหนีได้ก่อนทุกงาน
29 ก.พ. 2563 เวลา 05.28 น.
mai ในสถานการณ์ที่มีโรคระบาด ควรหลีกเลี่ยงแหล่งชุมนุมชนให้มากที่สุด เราไม่รู้ว่าคนร้อยพ่อพันแม่ที่เจอมาจากไหนเป็นอะไรกันบ้าง ไม่รักตัวเองก็คิดถึงคนที่บ้านมากๆ พ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกเด็กเล็กแดงจะเดือดร้อนไปด้วย
29 ก.พ. 2563 เวลา 05.23 น.
ดูทั้งหมด