กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้า“พระยาเสือ” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงมีบทบาทสำคัญต่อบ้านเมืองนี้อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในแผ่นดินของใคร จนเป็นที่ยอมรับว่าทรงเป็น“นักรบ” คนสำคัญพระองค์หนึ่งในแผ่นดินกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งยังกินตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ถือเป็น“ข้าหลวงเดิม” ที่พระเจ้าตากทรงโปรดปรานมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านผู้นี้เป็นขุนศึกคู่บัลลังก์รบเคียงคู่กับพระเจ้าตากมาตั้งแต่ศึกกู้แผ่นดินหลังกรุงศรีอยุธยาแตก โดยมีความก้าวหน้าในราชการเป็นลำดับ คือ เมื่อแรกถวายตัวร่วมรบกับพระเจ้าตาก ได้เป็นที่พระมหามนตรี เจ้ากรมตำรวจ แล้วเลื่อนเป็นพระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และกินตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เมืองชั้นเอกของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เป็นตำแหน่งสุดท้าย
ตลอดรัชสมัยพระเจ้าตาก ได้เป็นแม่ทัพสู้ศึกสำคัญมิได้ขาด และเป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าตากทรงรักจน“ฆ่าไม่ลง” ดังที่ปรากฏความโดยพิสดารในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ โดยสังเขปดังนี้
คืนหนึ่งพระเจ้าตากทรงนั่งพระกรรมฐานที่พระตำหนักแพ โดยมีสมเด็จพระวันรัตน(ทองอยู่) นั่งกำกับเป็นประธาน เวลานั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ข้ามฟากมาจากบ้านประสงค์จะเข้าเฝ้า เจ้าพนักงานที่ล้อมวงรักษาการอยู่ เห็นเข้าจึงร้องห้ามมิให้เฝ้าเพราะทรงนั่งพระกรรมฐานอยู่ ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาล จางวางรักษาพระองค์ ก็ได้โบกมือให้ออกไปเสีย แต่เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าใจผิดคิดว่ากวักมือเรียก จึงค่อยย่องเข้าไป สมเด็จพระวันรัตน(ทองอยู่) แลเห็นเข้าก็ถวายพระพรว่า เจ้าพระยาสุรสีห์ย่องเข้ามาจะทำร้ายพระองค์เป็นแน่ พระเจ้าตากลุกกระโดดเข้าจับตัวเจ้าพระยาสุรสีห์ไว้ได้โดยฉับไว แต่เมื่อค้นตัวดูไม่พบอาวุธซ่อนอยู่ จึงมีพระราชดำรัสถามว่า“เหตุใดจึ่งย่องเข้ามาในที่ห้าม จะเปนกระบถฤา”
เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่าพระยาพิทักษภูบาลกวักมือให้เข้ามา ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาลก็แก้ว่าไม่ได้กวักมือเรียก แต่โบกมือให้ออกไป พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสว่า ตัวเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ย่อมรู้กฎหมายข้อห้ามดี เมื่อทำผิดเช่นนี้จะว่าอย่างไร เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า โทษนี้ต้องริบราชบาตร เฆี่ยน ๙๐ ที แล้วประหารชีวิตเสียไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
พระเจ้าตากได้ทรงฟังก็สังเวชพระทัย“กลั้นน้ำพระเนตรไว้ไม่ได้” ทรงกันแสงแล้วตรัสว่า ปรับโทษหนักเกินไป“ข้าได้สัญญาไว้กับเจ้าเมื่อเจ้ารับแม่ของข้ามาให้แก่ข้านั้น ข้าว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ให้ปรับโทษให้เบาลง เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ไม่ประหารชีวิต ก็ต้องลงพระราชอาญาเฆี่ยน 60 ที แล้วจำคุกไว้จนตาย
พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสอีกว่า หากจำคุกจนตาย“ข้าจะได้ใครใช้เล่า พี่เจ้าคนเดียวไม่ภอใช้” ให้ปรับใหม่เบาลงอีก เจ้าพระยาสุรสีห์กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นให้เฆี่ยน 60 ที แล้วถอดเป็นไพร่ พระเจ้าตากทรงไม่ยอมอีก มีพระราชดำรัสว่า“เปนไพร่ เข้าใกล้พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ข้าจะปรึกษาหาฤากับใครเล่า”เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน 60 ที แล้วอยู่ในตำแหน่งเดิม พระเจ้าตากก็ทรงพอพระทัย“พ่อชอบใจแล้ว” เรื่องจึงยุติลง
จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์“ส่วนตัว” ระหว่างพระเจ้าตากกับเจ้าพระยาสุรสีห์นั้น“ไม่ธรรมดา” รวมไปถึงความไว้วางใจในข้อราชการที่ทรงตั้งให้“กินเมือง” พิษณุโลกซึ่งเป็นเมืองสำคัญระดับเมืองลูกหลวง คุมยุทธศาสตร์หัวเมืองฝ่ายเหนือมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ถือว่าเป็นความไว้วางใจแบบ“ไม่ธรรมดา” เช่นกัน
จนเมื่อแผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นกลียุค บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ถูกผลักให้ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่าง“เจ้าเหนือหัว” กับ“พี่ชาย” ผู้ยิ่งใหญ่กว่าท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ความเคลื่อนไหวของผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลกเมื่อเกิดเหตุรัฐประหารกรุงธนบุรี ปรากฏอยู่แล้วในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่มีเนื้อความตรงกันและแตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบ“ท่าที” ของเจ้าพระยาสุรสีห์ที่มีต่อเหตุการณ์นี้
จุดกำเนิดอวสานกรุงธนบุรี จับความได้เมื่อเกิดเหตุกบฏขึ้นที่กรุงกัมพูชา พระเจ้าตากจึงมีพระราชดำรัสให้แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ตระเตรียมทัพยกไปปราบกบฏ ณ กรุงกัมพูชา มีเจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงครามอดีตเจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นกองหนุน(เอกสารบางฉบับว่ากรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นแม่ทัพใหญ่) พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้ง 6 ทัพรวมพล 10,000 นาย
การตระเตรียมทัพครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่ เดือนยี่ ปีชวด เมื่อข่าวกบฏกรุงกัมพูชาแจ้งมาถึงพระเจ้าตาก กำลังพล 10,000 นาย จัดกระบวนทัพอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นมีพระยาสุริยอภัย หลานเจ้าพระยาจักรีเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอยู่
หนึ่งปีถัดมา ในเดือนยี่ ปีฉลู จึงออกเดินทัพสู่กรุงกัมพูชา เป้าหมายคือตีเมืองพุทไธเพชรให้ได้ตามพระราชประสงค์ หากสำเร็จตามนี้ก็จะตั้งให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ให้อยู่ครองกรุงกัมพูชาสืบไป
ถึงตอนนี้พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในการวางกำลังทหารเข้ายึดกรุงกัมพูชาแต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามีเนื้อความเล่าถึงตอนนี้ว่ากองทัพกรุงธนบุรีมีการจัดวางกำลังทัพอย่างไร
“เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตั้งทัพใหญ่อยู่ ณ เมืองนครเสียมราบ ให้กองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปทางเมืองปัตบองฟากทะเลสาบข้างตะวันตก เอากองทัพเขมร พระยายมราช และพระยาพระเขมรทั้งปวงยกออกไปตีเมืองพุทไธเพชร ทัพพระเจ้าลูกเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงคราม ก็ยกหนุนออกไป และให้ทัพพระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศ และทัพพระยาธรรมายกไปทางฟากทะเลสาบฝ่ายตะวันออก ไปตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำพงสวาย”
การเดินทัพไปสู่จุดต่างๆ ในกรุงกัมพูชานั้น ใช่ว่านึกอยากจะไปจุดไหนตามแผนการรบก็ไปได้โดยสะดวก ตรงกันข้าม การไปสู่จุดหมายตามเนื้อความในพระราชพงศาวดารนั้นต้อง“ตีดะ” กับกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่คอยต่อต้านอยู่
ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา กล่าวถึงการรุกรบของเจ้าพระยาสุรสีห์ในสนามรบว่า
“ฝ่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ยกทัพมาถึงเมืองกำปงสวาย ก็เข้าตีเมืองกำปงสวายและขับไล่กองทัพออกญาเดโช(แทน) ซึ่งตั้งรับอยู่ที่เนินปูเปล แตกหนีเข้าป่าไปสิ้น แล้วเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพมาตั้งอยู่ที่เปียมจีกอง แลข้ามมาตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำด้วย
องพอมา แม่ทัพญวน จึงจัดให้องกวางนัมกับออกญากะลาโหม(ปา) ยกทัพญวนแลเขมรไปตั้งรับทัพเจ้าพระยาสุรสีห์อยู่ที่เกาะอันแดด(เกาะลอย) แลจัดให้ออกญายมราช ชื่อปาง ยกทัพญวนเขมรไปตั้งรับทัพพระองค์เจ้าน้อย(กรมขุนอินทรพิทักษ์) ที่ปากคลองขุด ตั้งแต่เดือนยี่ จนถึงเดือนสี่ ปีฉลู”
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ระบุไว้ชัดเจนว่า เดือนยี่ ปีฉลู กองทัพกรุงธนบุรีออกเดินทางเข้าสู่กรุงกัมพูชา สอดคล้องกับราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาที่ว่าแม่ทัพญวนออกตั้งรับกองทัพกรุงธนบุรีตั้งแต่เดือนยี่เช่นกันหมายความว่าการรบในศึกครั้งนี้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนยี่จนถึงเดือน๔จะเห็นได้ว่าทั้งเจ้าพระยาสุรสีห์กรมขุนอินทรพิทักษ์และทัพอื่นๆรบบุกตะลุยสู่หัวใจของกรุงกัมพูชาตามคำสั่งพระเจ้าตาก
แต่เจ้าพระยาจักรีแม่ทัพใหญ่กลับมีท่าทีต่างออกไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ในเรื่องนี้ว่า“ดูเหมือนจะระแวงการข้างในอยู่มากแล้ว จึงได้รั้งรอไม่ดูจะทำการเดินออกเร็ว”
สอดคล้องกับพระราชพงศาวดารที่ว่า เจ้าพระยาจักรีออกคำสั่งยกทัพกลับไปยึดกรุงธนบุรีก่อนเดือน ๔ ซึ่งเป็นเดือนที่เริ่มเกิด“กบฏพระยาสรรค์”
“แต่ก่อนเมื่อพระยาสรรค์ยังไม่เข้าตีกรุงธนบุรีนั้น ฝ่ายพระยาสุริยอภัยผู้ครองนครราชสีมาได้ทราบข่าวว่าแผ่นดินเป็นจลาจลมีคนขึ้นไปแจ้งเหตุ จึงออกไป ณ เมืองนครเสียมราบ แถลงการแผ่นดินซึ่งเกิดยุคเข็ญนั้นแก่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกๆ จึงให้พระยาสุริยอภัยรีบยกกองทัพลงมายังกรุงธนบุรีก่อน แล้วจะยกทัพหลวงตามลงไปภายหลัง…”
และในเดือน 4 อีกเช่นกัน เจ้าพระยาจักรีก็ได้เจรจาความสงบศึกกับแม่ทัพญวน อ้างเหตุความไม่สงบในกรุงธนบุรี จากนั้นจึงมีคำสั่งเลิกทัพไปยังแนวหน้ารวมถึงกองทัพของเจ้าพระยาสุรสีห์
“ฝ่ายเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อให้พระยาสุริยอภัยมาแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการแผ่นดินอันเป็นจลาจล*ให้คนสนิทถือไปแจ้งแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองพนมเปญ ให้กองทัพเขมร พระยายมราช เข้าล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้อย่าให้รู้ความ แล้วให้รีบเลิกทัพกลับเข้ามา ณ กรุงโดยเร็ว แล้วให้บอกไปถึงพระยาธรรมาซึ่งตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำพงสวาย ให้จับกรมขุนรามภูเบศจำครบไว้ แล้วให้เลิกทัพตามเข้ามา ณ กรุงธนบุรี”*
เนื้อความตรงนี้นำไปสู่ปริศนาข้อใหญ่ที่ว่า หากเจ้าพระยาสุรสีห์“รู้เห็น” แผนการยึดกรุงธนบุรี ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนเดือน 4 นานแล้ว(ดูรายละเอียดเรื่องนี้ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน 2550) เหตุใดจึงไม่“รั้งรอ” แต่กลับบุกตะลุยทำการ“รบจริง” ในดินแดนกรุงกัมพูชา และเหตุใดเจ้าพระยาจักรีจึงต้องสั่ง“เบรกทัพ” ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เลิกทัพกลับบ้าน โดยอ้างเหตุ“แผ่นดินอันเป็นจลาจล” ทั้งที่กบฏพระยาสรรค์ยังไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าคำสั่งเลิกทัพนี้เกิดขึ้นก่อนเจ้าพระยาจักรีเจรจาสงบศึกกับแม่ทัพญวน ดังนั้นคำสั่งการเข้าตีกรุงกัมพูชาจากพระเจ้าตากยังมีผลอยู่ การศึกของแม่ทัพต่างๆ รวมทั้งกรมขุนอินทรพิทักษ์จึงดำเนินต่อไปจนกระทั่งคำสั่งเลิกทัพนี้ตกมาถึง
บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ก่อนการยึดกรุงธนบุรี จึงน่าจะยังคงเป็นบทบาทของแม่ทัพหน้ากรุงธนบุรี กระทำการรบอันเป็นคำสั่งของพระเจ้าตาก จนกระทั่งมีคำสั่งเลิกทัพจากแม่ทัพใหญ่ให้ยกกลับมายังกรุงธนบุรี
ต่อมาหลังการยึดกรุงธนบุรีสำเร็จแล้วเจ้าพระยาสุรสีห์จึงรับบท“นักฆ่า” ในฐานะวังหน้าในแผ่นดินกรุงเทพฯ
เจ้าพระยาสุรสีห์ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารอีกครั้งหลังจากมีการยึดกรุงธนบุรีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว 9 วัน และสถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในแผ่นดินใหม่
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตอนนี้คือเกิดความแตกต่างระหว่างพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ซึ่งถูกชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯยังมีพระองค์อยู่กับพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซึ่งถูกชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4
กล่าวคือ พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) กล่าวถึงบทบาทของกรมพระราชวังบวรฯ อันเกี่ยวเนื่องกับการทำรัฐประหารไว้น้อยมาก มีเพียงการรับคำสั่งให้ยกทัพกลับกรุงธนบุรีเท่านั้น แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ได้ปรากฏบทบาทของ“พระยาเสือ” ไว้หลายประการ โดยเฉพาะบทบาทของความดุร้ายหลังการรัฐประหาร
พระราชกรณียกิจแรกของ“วังหน้า” กรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาคือ สั่งฆ่าโจทก์เก่าของพระองค์ทันที 80 คน“ให้ตำรวจไปจับข้าราชการทั้งปวง บรรดาที่มีความผิดขุ่นเคืองกับพระองค์มาแต่ก่อน ให้ประหารชีวิตเสียทั้งสิ้นแปดสิบคนเศษ”
เรื่องนี้น่าสงสัยว่ากรมพระราชวังบวรฯ มีความขุ่นเคืองใดถึงต้องประหารชีวิตข้าราชการมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งที่ทรงขึ้นไปรับราชการที่หัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุรัฐประหารนานถึง 12 ปี(จุลศักราช 1132-44) ในขณะที่ เจ้าพระยาจักรีประหารชีวิตเจ้านายขุนนางฝ่ายพระเจ้าตากในเหตุการณ์ครั้งนี้ไปเพียง 40 คน เท่านั้น
พระราชกรณียกิจลำดับต่อมา คือตามล่ากรมขุนอินทรพิทักษ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ขณะมีคำสั่งเลิกทัพ ในคำสั่งนั้นรวมไปถึงการ“ล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้อย่าให้รู้ความ” ว่าจะมีการเลิกทัพเพื่อทำรัฐประหารพระเจ้าตาก โดยใช้กองทัพกัมพูชาซึ่งอยู่ฝ่ายกรุงธนบุรีจำนวน 3,000 นายล้อมไว้ การใช้กองทัพกัมพูชาชาวต่างชาติล้อมไว้นี้เป็นกลอุบายหมายจะให้กรมขุนอินทรพิทักษ์จะได้ไม่รู้ความว่ากำลังถูกฝ่ายเดียวกันปิดล้อมอยู่(พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศว่า กรมขุนอินทรพิทักษ์มีกำลังในมืออยู่ 200 ถูกกองทัพกัมพูชา 3,000 นาย และกองทัพญวน 8,000 นาย ปิดล้อม)
ไม่มีหลักฐานใดบอกให้รู้ว่าทำไมฝ่ายเจ้าพระยาจักรีจึงไม่สั่งจับกรมขุนอินทรพิทักษ์ ทั้งที่มีกำลังต่างกันอย่างมาก แต่กลับสั่งจับกรมขุนรามภูเบศซึ่งอยู่ในกองทัพบุกกรุงกัมพูชาครั้งนี้ด้วย อีกทั้งยังถูกประหารไปพร้อมกับกรมขุนอนุรักษ์สงคราม กลุ่มพระยาสรรค์ และญาติวงศ์พระเจ้าตากที่เป็นชาย ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านกลุ่มแรกที่ถูกประหาร
นอกจากนี้กรมขุนอินทรพิทักษ์ยังสามารถตีฝ่าวงล้อมทหารนับพันนับหมื่น ออกมาได้อย่าง“อัศจรรย์” จนกระทั่งหนีเข้ามาในเขตเมืองปราจีนบุรีจึงได้รู้ความว่าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว ก็ได้หนีเข้าป่าหลบซ่อนตัวในเขตเมืองสระบุรี พร้อมพระยากำแหงสงครามกับบ่าวอีก 5 คน
กรมพระราชวังบวรฯ ทรงทราบข่าวจากกรมเมืองปราจีนบุรี จึงอาสานำพล 6,000 เศษ ออกตามจับกรมขุนอินทรพิทักษ์ ในวันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือน 6 ห่างจากวันเปลี่ยนแผ่นดิน 22 วัน ในที่สุดก็จับได้แล้วนำตัวกลับมายังกรุงธนบุรี
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) กล่าวถึงตอนนี้ไว้อย่างรวบรัดว่า“ครั้น ณ วันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือน 6 สมเด็จพระอนุชาธิราชจึงชุมพล 6000 เศษแยกกันออกเป็นหลายกอง ไปล้อมจับขุนอินทรพิทักษ์ได้ที่ตำบล เขาน้อยใกล้ปถวี ทั้งขุนชะนะและพรรคพวกเป็น 7 คน คุมเอาตัวลงมา ณ เมืองธนบุรี ณ วันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 6 กราบทูลพระกรุณาแล้วให้ประหารเสีย”
แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงรายละเอียดก่อนการประหารกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้ว่า
“ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน 6 แรม 8 ค่ำ ทรงพระกรุณาให้ถามกรมขุนอินทรพิทักษ์ว่า ถ้ายอมอยู่จะเลี้ยง ด้วยตัวหาความผิดมิได้ กรมขุนอินทรพิทักษ์ให้การว่าไม่ยอมอยู่ จะขอตายตามบิดา สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึงดำรัสให้เอาตัวนายจุ้ยกรมขุนอินทรพิทักษ์ และขุนชนะพระยากำแหงสงครามนั้นไปประหารชีวิตเสีย”
เหตุใดกรมขุนอินทรพิทักษ์จึงได้โอกาสรอดชีวิตถึง๒ครั้งครั้งแรกเมื่อตีฝ่าวงล้อมทหารนับพันนับหมื่นมาได้อย่างน่าสงสัยกับครั้งนี้เป็นครั้งที่๒เรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับบทบาทของกรมขุนอินทรพิทักษ์หรือไม่เนื่องจากในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าตากนั้นกรมขุนอินทรพิทักษ์ไม่เป็นที่โปรดของพระเจ้าตากมีเหตุต้องพระราชอาญาถูกสั่งรื้อตำหนักถอดยศและการมีพระราชประสงค์จะให้อยู่ครองกรุงกัมพูชาหลังศึกครั้งนี้เท่ากับเป็นการถอดเสียจากตำแหน่งรัชทายาทในฐานะสมเด็จพระมหาอุปราชกรุงธนบุรี
นอกจากนี้ เราไม่ทราบว่าระหว่าง กรมขุนอินทรพิทักษ์กับกรมพระราชวังบวรฯ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จะมีความโปรดปรานส่วนตัวกันมากน้อยเพียงใดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คำสั่งประหารกรมขุนอินทรพิทักษ์ครั้งนี้ ถือเป็น“คำสั่งแรก” ที่กรมพระราชวังบวรฯ จะ“มีส่วน” ในการสำเร็จโทษพระราชวงศ์พระเจ้าตากผู้ที่เคยเว้นชีวิตพระองค์มาก่อน
คำสั่งที่ 2 ของกรมพระราชวังบวรฯ ที่เกี่ยวพันกับพระญาติวงศ์พระเจ้าตาก คือการสั่ง“ฆ่าล้างครัว” “กราบทูลว่า บรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน จะขอรับพระราชทานเอาใส่เรือไปล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า”
ดูเหมือนว่าเนื้อความในคำสั่งนี้จะขัดกับเนื้อความในพระราชประสงค์แรกที่ทรงมีต่อกรมขุนอินทรพิทักษ์ที่ว่า“ถ้าอยู่จะยอมเลี้ยง” แต่มาคราวนี้ถึงกับทรงสั่งฆ่า“บุตรชายน้อยๆ” ของพระเจ้าตาก
อย่างไรก็ดีวรรคทองที่ว่า“ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” นี้ ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี ว่า“ตัดไม้ไม่ไว้หน่อฆ่าพ่อไม่เลี้ยงลูก” ในกรณีกบฏเจ้าฟ้าเหม็น ส่วนเนื้อความนี้ที่ใช้ในกรณีพระเจ้าตากนั้น ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีเฉพาะฉบับพระราชหัตถเลขาเพียงแห่งเดียว และมาปรากฏอีกครั้งในประชุมพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ฉบับตัวเขียน) แต่ในประชุมพงศาวดารฉบับเดียวกันนี้ที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจชำระนั้น ข้อความนี้ถูกยกออกทั้งหมด
ความแตกต่างในบทบาทของ วังหน้า“พระยาเสือ” ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารทั้งสองฉบับ โดยเฉพาะบทบาทความโหดร้ายของพระยาเสือที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานั้น จะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับความ“ขัดข้องขุ่นใจ” ระหว่างวังหลวง–วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 4 หรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
ทั้งนี้จะเห็นได้จากการวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าตากโดยกระทบผ่านทางพระญาติวงศ์บ้างหรือการกล่าวถึง“บทร้าย” ของวังหน้าพระยาเสือในบางครั้งเช่นเรื่องที่กรมพระราชวังบวรฯทรงสาปแช่งผู้ที่จะมายึดวังให้ผีสางเทวดาบันดาลอย่าให้มีความสุขนั้นมักผลุบโผล่อยู่ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่4นั่นเอง
หมายเหตุ: เนื้อหานี้คัดจากบทความ “วังหน้า ‘พระยาเสือ’ เมื่อต้องโค่นพระเจ้าตาก” เขียนโดย ปรามินทร์ เครือทอง เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2551 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
และเพื่อไม่พลาดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ พร้อมหยิบมาใช้งาน ค้นคว้า อ้างอิง ได้ตลอดเวลา ทางกองบรรณาธิการขอเชิญผู้อ่านสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรมรายเดือน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ถึง 31 ก.ค. 2564 สำนักพิมพ์ลดราคาพิเศษ 30% และแถมฟรีอีก 1 เดือน สนใจคลิกสมัครสมาชิกหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
กัดตูดนะ ขอบอก ประวัติที่แต่งเอง ใส่ไข่เอง
สมควรที่ยกเลิก วิชาประวัติศาสตร์
บ้างก็ว่าพระเจ้าตากคุ้มคลั่ง
ถูกจับโบย จนสิ้นพระชนม์
จะมีะไรล่ะ แย่งอำนาจกัน ใส่ไข่กัน
อีกหน่อย ก็เขียนประวัติศาสตร์ว่า
ทักษิณ คือ ตากสิน กลับชาติมาเกิด
เพราะชื่อคล้องจองกัน.... ชิมิ
23 ส.ค. 2562 เวลา 19.52 น.
Sank L.World สรุปคือฆ่าเพื่อแย่งอยากรู้เรื่องร.8คงเป็นทำนองเดียวบางอย่างอาจเคยชินแล้วสำหรับคนไทย
23 ส.ค. 2562 เวลา 20.17 น.
ใครก็ได้ที่เป็นผู้นำและนำผู้ตามให้เจริญกันหมด และเอาเปรียบน้อยที่สุดผมว่าดี
15 ต.ค. 2563 เวลา 00.38 น.
Rangsan Krab เรื่องเล่าจากปากไหลลื่นไปตามลม
เรื่องเล่าจากเวลาคงอยู่อย่างขุนเขา
24 ส.ค. 2562 เวลา 08.36 น.
เยอะชิบหาย ลงทำไมเยอะ เสียเวลาอ่าน
23 ส.ค. 2562 เวลา 19.59 น.
ดูทั้งหมด