วันนี้ (8 ส.ค. 65) มีผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชนะคดีสรรพากร หลังศาลภาษีอากรกลางสั่งพิพากษาให้เพิกถอนประเมินเก็บภาษีขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,000 ล้านบาท เนื่องจากดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้ออกหมายเรียกภายในกำหนดเวลา แต่กลับออกหมายเรียก ‘โอ๊ค-เอม’ ผู้เป็นบุตรมาประเมินแทนเจ้าตัว
ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ศาลภาษีอากรกลางเพิ่งมีคำสั่งพิพากษาคดีความแพ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2549 ซึ่งรวมเป็นเงินกว่า 17,629 ล้านบาท
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาและวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานถือเอาการออกหมายเรียกบุตรชายและบุตรสาว (‘โอ๊ค’ พานทองแท้ ชินวัตร และ ‘เอม’ พินทองทา ชินวัตร) ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ ถือเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง
แต่เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลา ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ แต่อย่างใด ทักษิณจึงไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และไม่ใช่มีผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 จึง’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย’ เช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานและจำเลย 2-4 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่
โดยสรุปก็คือ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้ออกหมายเรียกโจทก์ (ทักษิณ) ภายในกำหนดเวลา แต่กลับออกหมายเรียกลูกมาประเมินแทนเจ้าตัว
คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่ทักษิณขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ด้วยเงิน 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ต่อมาในช่วงปี 2549-2552 บุตรชายและบุตรสาวของทักษิณ กลับถูกประเมินเรื่องภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ทำนองว่าเป็นตัวแทนของทักษิณจึงต้องเก็บภาษี นำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้
ตามปกติแล้ว กรณีที่ผู้เสียภาษีมาเสียภาษีเงินได้ไม่ครบถ้วน กฎหมายระบุให้ออกหมายเรียกมาไต่สวนภายใน 5 ปี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการออกหมายเรียกทักษิณมาไต่สวนแต่อย่างใด
แต่ในปี 2560 วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กลับระบุว่า กรมสรรพกรเคยออกหมายเรียกบุตรชายและบุตรสาว นอมินีที่ถือหุ้นแทนทักษิณมาไต่สวนในปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 - 821 ให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มี.ค. 2560
ในขณะนั้น พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างคำพูดของนายวิษณุที่รายงานเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2560 ว่าเรื่องนี้ถือเป็น "อภินิหารทางกฎหมาย"
อ้างอิงจาก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7202710
. ที่อภินิหารจริงๆคือไม่ได้ตัดสินอะไรแต่ยึดเงินเขาหลังรัฐประหาร????
08 ส.ค. 2565 เวลา 12.56 น.
Chai ชนะ ศาลมีความยุติธรรม
แพ้ ศาลไม่ยุติธรรม
08 ส.ค. 2565 เวลา 13.13 น.
Inter translation เป็นไปตามกฎหมาย ก็ยอมรับกันไป
08 ส.ค. 2565 เวลา 12.53 น.
''จอมโจรขี่ม้าขาว'' มันไม่ผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในกฏหมายหุ้นมันก็เขียนไว้อยู่ เออ ถ้าทุจริตโครงการก่อสร้าง หรือ อาหารกลางวัน แบบทุกวันนี้สิ ควรจะผิดแต่อย่างว่า คสช เหนือกฏหมาย ให้ใครผิดถูกก็ได้ เพราะเป็นพวกพ้องเดียวกันหมด น่าอนาถกะลาแลนด์
08 ส.ค. 2565 เวลา 13.05 น.
Niwat Saeloo ถ้าเป็นชาวบ้านติดคุกก่อน
และต้องโดนปรับแบบนี้แล้ว
จะคิดยังไงดี2มาตรฐานชัดๆนิ
ขนาดมีมือกฎหมายว่าดีที่สุดยังแพ้อะ
ชาวบ้านอย่างเราๆๆทั้งหลายทำใจเด้อ
08 ส.ค. 2565 เวลา 12.31 น.
ดูทั้งหมด