ภาคเอกชนขานรับแจก 1 หมื่น เฟสแรก 1.45 แสนล้าน หอการค้าฯคาดเงินหมุนอย่างน้อย 2 รอบ อาหาร-สินค้าอุปโภคได้อานิสงส์มากสุด ขณะที่สหพัฒน์คาดคนจะเน้นใช้จ่ายสิ่งจำเป็นก่อน รมว.คลังเชื่อดันจีดีพีปีนี้โตถึง 3% ยืนยันเฟส 2 อีก 36 ล้านคนได้แน่นอน ขณะที่สภาพัฒน์ประเมินตัวเลขเติบโตเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน เผยเดือน ต.ค.ดีเดย์ให้คนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนผ่าน 3 แบงก์รัฐ ทั้งออมสิน-ธ.ก.ส.-ธอส. นายกฯนัดประชุม กก.กระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนทยอยออกมาตรการเป็นระยะ ๆ
หอการค้าฯเชื่อเงินหมุน 2 รอบ
ความคืบหน้าการแจกเงิน 1 หมื่นบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลุ่มเปราะบางและผู้พิการเฟสแรกวันที่ 25 ก.ย.นี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยประเมินว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินหมื่นบาทในรูปเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางนั้น เชื่อว่าประชาชนกลุ่มเปราะบางเมื่อได้เงินแล้วจะใช้จ่ายเงินทันที
โดยผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันจะได้รับอานิสงส์เป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 รอบ และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในช่วง Q4 ของปีนี้ให้เติบโตราว 3.5-4% ขณะที่ในภาพรวมจะช่วยกระตุ้น GDP ของทั้งปีให้เพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.3% เป็น 2.7-2.8% จากเดิมที่คาดว่า 2.5%
สหพัฒน์ประเมินแจก 1 หมื่น
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เงินสด 1 หมื่นบาทที่รัฐบาลให้กลุ่มเปราะบางนั้น จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะสินค้า FMCG หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำหน่ายเร็วและมีต้นทุนต่ำได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่หวือหวาและเห็นได้ทันที เหมือนกับนโยบายก่อน ๆ
เนื่องจากครั้งนี้ไม่มีเงื่อนไขรูปแบบการใช้ และช่วงเวลาที่ต้องใช้ให้ทัน ทำให้เชื่อว่าเม็ดเงินจำนวนหนึ่งจะถูกนำไปชำระหนี้สิน หรือค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในชีวิตประจำวันก่อน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะทยอยใช้จับจ่ายสินค้า-บริการในระยะยาว เพราะไม่มีเงื่อนเวลาบังคับ
คาดใช้เงินแก้ปัญหาเร่งด่วน
ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีแผนจัดโปรโมชั่นหรือแคมเปญสำหรับกระตุ้นการจับจ่ายจากเม็ดเงินจำนวนนี้ เนื่องจากมองว่าช่องทางจำหน่ายที่มี เช่น ร้านสะดวกซื้อ Lawson 108 ยังมีสาขาไม่มากพอที่จะได้ผลลัพธ์คุ้มค่า โดยจะมีเพียงการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายตามปกติ
“เป็นเรื่องปกติที่ผู้บริโภคจะเลือกแก้ปัญหาที่เร่งด่วนก่อน เพราะหากไม่จ่ายค่าไฟก็โดนตัดไฟ ไม่จ่ายหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่ม” นายเวทิตกล่าว
“ยิ่งเจริญ” ตั้งเป้ายอดพุ่ง 20%
นายสายชล สวัสดิชัย ผู้จัดการอาวุโสตลาดยิ่งเจริญ กล่าวว่า นโยบายแจกเงินหมื่นของรัฐบาล จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการจับจ่ายใช้สอยของบรรดาผู้ซื้อและผู้ค้าอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจำนวนลูกค้าและยอดขายจะเพิ่มขึ้นราว 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อประเมินจาก “นโยบายคนละครึ่ง” ของรัฐบาลชุดก่อน
ทางตลาดและบรรดาผู้ค้าอยู่ระหว่างคิดโปรโมชั่นและแคมเปญรองรับนโยบายแจกเงินเพื่อเอื้อให้เกิดการจับจ่ายมากที่สุด
“เราเป็นศูนย์รวมของผู้ค้ารายย่อย มีสินค้าหลากหลายประเภท และมีลูกค้าหลากหลายกลุ่ม จะเห็นการหมุนเวียนของเม็ดเงินแน่นอน” นายสายชลกล่าว
สำหรับสถานการณ์ในภาพรวมของตลาดยิ่งเจริญ นับจากต้นปีที่ผ่านมา เขาระบุว่า ผู้ค้ารายย่อยเลือกสต๊อกสินค้าลดลงเช่นกันกับผู้ซื้อที่คิดมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย ตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ตลาดยิ่งเจริญในฐานะเจ้าของพื้นที่พยายามประคับประคอง และคาดว่าช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สถานการณ์จะดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ชี้เงินหมื่นดันจีดีพีปีนี้พุ่ง 3%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 แจกเงินผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ จำนวน 14.55 ล้านคน คนละ 10,000 บาท แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 12.4 ล้านราย และผู้พิการอีกประมาณ 2.1 ล้านราย
คาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ ดังนั้น เมื่อรวมกับผลของโครงการคาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีปี 2567 ขยายตัวได้ 3%
ยืนยันแจกเฟส 2 แน่นอน
“เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป” นายพิชัยกล่าวและว่า ส่วนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต เฟส 2 สำหรับกลุ่มผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ไว้แล้ว ประมาณ 36 ล้านคน จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
มาตรการนี้นอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
สภาพัฒน์ประเมินตัวเลข
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า โครงการแจกเงิน 10,000 บาท จะมีส่วนช่วยผลักดันให้จีดีพีขยายตัวได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 0.35% ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับกระทรวงการคลัง
“ตัวเลขที่ สศช. ประมาณการจีดีพีปี 2567 ไว้ หากยังไม่ได้รวมผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จีดีพีปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2.3-2.8% (ค่ากลาง 2.5%) ซึ่งเมื่อมาตรการนี้เข้ามา ก็จะมีส่วนช่วยเสริมให้ขยายตัวได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม จีดีพีปี 2567 จะขยายตัวได้ 3% หรือไม่นั้น ต้องดูสถานการณ์ช่วงที่เหลือของปี อาจจะมีอะไรเข้ามา ก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าสถานการณ์ปกติแบบนี้ ก็คงไปได้ระดับหนึ่ง” นายดนุชากล่าว
ต.ค.ถึงคิวไม่มีสมาร์ทโฟน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเปิดลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต สำหรับผู้ที่ไม่มีกลุ่มสมาร์ทโฟน ผ่าน 3 สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ ภายในเดือน ต.ค.นี้
ยืนยันว่ารอบนี้จะไม่เลื่อนลงทะเบียนออกไปอีก เพราะเป็นช่วงที่ดำเนินการเฟสแรก สำหรับกลุ่มเปราะบางแล้วเสร็จ ส่วนกำหนดวันลงทะเบียนที่ชัดเจนให้รอหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ด) ที่มี น.ส.แพทองธาร เป็นประธาน ซึ่งประชุมนัดแรกภายในต้นสัปดาห์หน้า
เปิดบัญชีผ่าน 3 แบงก์รัฐ
“กรอบเวลารับลงทะเบียน จะกำหนดระยะเวลาอยู่ที่ 1 เดือนเหมือนกับเฟสแรก และจะไม่ขยายวันเพิ่มอีก ส่วนการโอนเงินไปยังประชาชนจะดำเนินการผ่านระบบวอลเลต ที่อยู่ในระบบกลางของรัฐบาล โดยรัฐบาลจะโอนตรงไปยังบัญชีธนาคารของประชาชนผู้มีสิทธิ แต่บัญชีธนาคารจะต้องเป็น 3 แบงก์รัฐ คือ ออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส.เท่านั้น
เมื่อลงทะเบียนแล้วจะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ รวมถึงใช้เวลาในการประกาศผลไม่นาน ส่วนเงินที่ประชาชนเฟส 2 จะได้รับเมื่อไรนั้น ต้องรอความพร้อมของระบบอีกหน่อย” นายจุลพันธ์กล่าวและว่า
ส่วน 3 แบงก์รัฐ มั่นใจว่ามีความพร้อมรับลงทะเบียน หากรัฐบาลประกาศกดปุ่มเริ่มเมื่อไร แบงก์จะสามารถดำเนินการและมีระบบรองรับได้ทันที
เนื่องจากกระทรวงการคลังและแบงก์ได้มีการหารือ และเทรนด์ระบบร่วมกันนานแล้ว จึงเชื่อว่าเมื่อถึงวันเปิดรับลงทะเบียนตามสาขาแบงก์จะไม่มีปัญหาใด ๆ
รัฐบาลตั้งทีมกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามในหนังสือแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก
รวมทั้งผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเลต ซึ่งเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชน และการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการประชุมนัดแรกในสัปดาห์หน้า
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากนี้จะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเเศรษฐกิจทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : หอการค้าชี้เงินหมื่นหมุน 2 รอบ ช่วยดัน “จีดีพี” แตะ 3%
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net