In focus
- การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ปรากฎอยูในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล
- ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม และวิธีการคำนวณที่นั่ง ส.ส. ของ กกต. ทำให้สภาประกอบด้วยพรรคการเมืองอย่างน้อย 26 พรรค กลายเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ส่งผลให้การดำเนินนโยบายของพรรคการเมืองไม่มีเสถียรภาพ
- พรรคพลังประชารัฐเตรียมส่ง 'มือดี' เข้าร่วมทำงานในกรรมาธิการฯ ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. อาทิ 'สมชาย แสวงการ' อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำงานร่วมกับคสช. มานานกว่า 5 ปี หรือ 'ไพบูลย์ นิติตะวัน' อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง หรืออาจกล่าวได้ว่า บุคคลเหล่านี้อาจจะเป็น 'องค์รักพิทักษ์รัฐธรรมนูญคสช.'
ในเดือนธันวาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรมีนัดพิจารณาญัตติด้วยอย่างการตั้ง “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ” เพื่อศึกษาและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอันจะนำไปสู่การผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ
หากพิจารณาจากญัตติที่แต่ละพรรคยื่นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะพบว่า พรรคที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้มีแค่พรรคฝ่ายค้าน มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา รวมถึงพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ นับว่าเป็น ‘จุดร่วมท่ามกลางจุดต่าง’ เพียงแต่เหตุผลในการแก้รัฐธรรมนูญอาจจะต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจต่อกลไกทางการเมือง อย่างระบบเลือกตั้งหรือวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง หรือเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการตั้ง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ จะไม่ใช่จุดตัดหรือจุดชี้วัดสำคัญว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ แต่การตั้ง กมธ.ชุดดังกล่าวจะเป็นก้าวย่างที่สำคัญทางการเมืองที่จะทำให้เห็นทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
“แก้รัฐธรรมนูญ” จากคำมั่นสัญญาสู่จุดร่วมทางการเมือง
การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ปรากฎอยูในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยระบุว่า จะมีนโยบายการสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นข้อตกลงเมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์มีมติร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และเป็นคำมั่นสัญญาต่อพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากการบัญญัติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ‘เทพไท เสนพงศ์’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ยังยื่นญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 โดยให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญมีปัญหาในทางปฏิบัติหลายมาตรา และมีหลายประเด็นที่ต้องแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี จากคำมั่นสัญญาที่มีให้กับพรรคร่วมเริ่มกลายเป็นจุดร่วมทางการเมืองมากขึ้น เมื่อ ‘วิเชียร ชวลิต’ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐได้เสนอญัตติด่วนเรื่อง ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม รวมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ควบคู่ไปกับญัตติอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันกับพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เพียงแต่เหตุผลในการเสนอตั้ง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ สืบเนื่องมาจาก “ปัญหาระบบการเลือกตั้ง” เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการรอประกาศผลการเลือกตั้งที่ยาวนาน การคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นต้น
ไม่ว่าขั้วการเมืองไหนก็อยากได้การเมืองที่มีเสถียรภาพ
จริงอยู่ว่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐอย่าง ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ จะเคยกล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐบาลที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยระบบเลือกตั้งและกลไกทางการเมืองทำให้พรรคที่ได้เป็นรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีเสถียรภาพมากนักแม้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างท่วมท้นด้วยเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการสรรหาและคัดเลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ด้วยระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม และวิธีการคำนวณที่นั่ง ส.ส. ของ กกต. ทำให้สภาประกอบด้วยพรรคการเมืองอย่างน้อย 26 พรรค และทำให้การจัดตั้งรัฐบาลต้องรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองให้ได้ที่นั่งไม่น้อยกว่าครึ่ง กลายเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ส่งผลให้การดำเนินนโยบายของพรรคการเมืองไม่มีเสถียรภาพ อันจะเห็นได้จากทิศทางนโยบายการแบนสารเคมีการเกษตร 3 ชนิด ที่พรรคภูมิใจไทยต้องการพรรคดันให้ยกเลิก ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา ทำให้ในทางปฏิบัติเกิดภาวะชะงักงันทางการเมือง ไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนในด้านนโยบาย
นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรต้องเผชิญปัญหา ‘สภาเสียงปริ่มน้ำ’ เนื่องจากไม่มีขั้วทางการเมืองใดครองเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ส่งผลให้ทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาลต่างประสบปัญหาไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ตามที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชน รวมถึงต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ‘สภาล่ม’ เมื่อเกิดความขัดแย้งในสภา อย่างที่เกิดขึ้นในกรณีการตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งคสช. รวมถึงคำสั่งหัวหน้าคสช. (มาตรา 44)
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านที่เสนอญัตติตั้งกมธ. แก้รัฐธรรมนูญ ระบุที่มาและเหตุผลในการเสนอญัตติว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาเรื่องระบบการเลือกตั้งและกลไกทางการเมืองที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และรัฐบาลขาดเสถียรภาพไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน
‘ที่มา ส.ว.-นายกฯ’ จุดร่วมฝ่ายค้าน จุดต่างรัฐบาล
หากดูจากเหตุผลของพรรคร่วมฝ่ายค้านในการเสนอญัตติตั้ง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ จะพบว่า มีการพูดถึงปัญหาในเชิงที่มาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผ่านประชามติแต่มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น จับกุม คุมขัง และดำเนินคดีกับฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเหตุผลนี้สอดคล้องกับเหตุผลของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาที่เห็นว่า แม้รัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ แต่ยังขาดการยอมรับจากประชาชน
ส่วนเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากเนื้อหา ยกตัวอย่างเช่น ที่มานายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้ระบุว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน รวมถึงการเปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอก หรือ นายกฯ นอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอและประกาศต่อสาธารณะก่อนการเลือกตั้ง อีกทั้ง ยังมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งที่ถูกคัดเลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีอำนาจในการร่วมเลือกนายกฯ และอำนาจในการร่วมพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เสียงของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งถูกบดบังด้วยเสียงจากสภาที่มาจากการแต่งตั้ง
อย่างไรก็ดี ปัญหาในเชิงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่มานายกฯ และ ส.ว. นั้น ยังเป็นจุดต่างและอาจเป็นจุดแตกหักสำคัญในสภา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยกลไกดังกล่าวทำให้พรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนคสช. ยังคงรักษาอำนาจทางการเมืองไว้ได้ ดังนั้น การเสนอเพื่อให้แก้ไขในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นเรื่องยาก
พรรคพลังประชารัฐและคณะรัฐมนตรีซึ่งมีสิทธิในการเสนอชื่อ กมธ. ก็เตรียมส่ง ‘มือดี’ เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. อาทิ ‘สมชาย แสวงการ’ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำงานร่วมกับคสช. มานานกว่า 5 ปี หรือ ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง หรืออาจกล่าวได้ว่า บุคคลเหล่านี้อาจจะเป็น ‘องค์รักพิทักษ์รัฐธรรมนูญคสช.’
อย่างน้อยที่สุด รัฐธรรมนูญต้องแก้ง่าย
ท้ายที่สุด คงต้องย้ำอีกครั้งว่า การตั้ง กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการตั้งคณะทำงานศึกษา ไม่ได้มีหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ กมธ. จะมีอำนาจในการทำรายงานการศึกษา การเชิญผู้คนมาให้ความเห็น หรือรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปได้
หากดูจากแนวทางของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ เงื่อนไขสำคัญคงจะเป็นการผลักดันให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว “แก้ไขได้ง่าย” เช่น การกำหนดเงื่อนไขให้แก้รัฐธรรมนูญได้โดยอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งของทั้งสองสภาระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา เนื่องจากว่า รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญไว้อย่างน้อย 3 ชั้น ได้แก่
หนึ่ง ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ว. ทั้งหมด
สอง ต้องลงประชามติหากเป็นการแก้ไขในหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่สามารถทำหน้าที่ได้
สาม ต้องได้รับเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานผู้แทนราษฎร
ที่มาภาพ: CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP
🎹 Oum 😎 ฉบับศักดินาธิปไตย ยังไงก็ไปไม่รอด
10 ธ.ค. 2562 เวลา 09.27 น.
วิธีเดียว
ที่ พวกวรนุชแดง
จะกลับถิ่นกำเนิดเดิมได้ คือ
ต้องอาศัย พวกวรนุชส้มแพร่พันธุ์
ให้เต็มถิ่นกำเนิด
แล้วเข้าทำลายเรือกสวนไร่นา
จะทำให้ชาวสวนชาวไร่ชาวนา
ทำมาหากินเพาะปลูกไม่ได้
ดังนั้น ชาวไร่ชาวสวนชาวนา
มีสิทธิ์และเสรีภาพอันชอบธรรม
ที่จะขับไล่พวกวรนุชส้มและวรนุชแดง
ออกไปจากเรือกสวนไร่นาของตนเอง
ขอให้ ชาวไร่ชาวสวนชาวนา
อย่าได้ประมาทช่วยกันรวมพลัง
ในการขับไล่ พวกวรนุชส้ม
และพวกวรนุชแดง
ด้วยเถิด
10 ธ.ค. 2562 เวลา 05.09 น.
นฤนารถ ก็เห็นมีปัญหาทุกฉบับแหละครับ พอฝ่าย ก. ชนะเลือกตั้ง ก็อาศัยอำนาจแก้จากซ้ายไปขวา พอฝ่าย ข. ชนะบ้างก็ว่า ฉบับเดิมไม่ดี มีปัญหาต้องแก้จากขวาไปซ้าย เป็นอย่างนี้มาทุกฉบับ
10 ธ.ค. 2562 เวลา 05.09 น.
มังกรขาว เตือนแล้ว ตั้งแต่ก่อนรับร่างฯว่ามีปัญหาแน่นอน แล้วไงล่ะ
10 ธ.ค. 2562 เวลา 04.39 น.
ดูทั้งหมด