มีเรื่องเล่าว่าสีกาคนหนึ่งไปวัด นางสวมชุดดำ ถือจตุปัจจัยวัตถุสีดำหมด ถามพระว่า “วัดนี้มีพระตัวดำๆ บ้างไหม?”
พระถามสีกาว่า “หาพระตัวดำทำไมหรือโยม?”
“เพราะฉันจะถวายสังฆทานเพื่อบูชาราหู ทุกอย่างเป็นของสีดำ ถ้าได้พระตัวดำๆ ก็ทำให้ครบ บุญแรงขึ้น”
พระบอกโยมว่า “โยมรออีกสองสามวันได้ไหม? อาตมาจะไปตากแดดให้ตัวดำก่อน ค่อยมารับสังฆทาน”
ฟังดูเหมือนขำขัน แต่เป็นเรื่องจริง
หากหลายร้อยปีหลังจากชาวบ้านตีเกราะเคาะกลองไล่ราหูอมจันทร์ และเรารู้แล้วว่าราหูเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เรายังบูชาราหูเวอร์ชั่นใหม่ได้ สามารถทำพิธีกรรมเพื่อแก้กรรม สร้างชาติหน้าที่ดีกว่ารออยู่ ด้วยเงินบริจาคทั้งเงินสดและบัตรเครดิต ฯลฯ เราอาจต้องวิเคราะห์ว่าทำไมผู้คนจึงยังไม่ยอมเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ และเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
หลังจากจีนเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปทั่วโลก เราพบข่าวแบบนี้มากขึ้น นั่นคือผู้โดยสารโยนเหรียญ เข้าไปในเครื่องยนต์เจ็ต เพื่อความมงคลและความปลอดภัยในการเดินทาง ยกตัวอย่าง เช่น ในเดือนเมษายน 2562 สายการบินเทียนจิน แอร์ไลน์ส เลื่อนเที่ยวบินจากเขตปกครองมองโกเลียในไปสองชั่วโมง เนื่องจากผู้โดยสารคนหนึ่งโยนเหรียญหกเหรียญเข้าไปในเครื่องยนต์ ผู้โยนเหรียญถูกตัดสินจำคุกสิบวัน
สองเดือนก่อน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก็เกิดเหตุแบบเดียวกัน
และก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือน คือมกราคม 2562 สายการบินไชนา อีสเทิร์น แอร์ไลน์ จากเมืองอันชิง มณฑลอันฮุย ไปเซี่ยงไฮ้ ถูกเลื่อนออกไปสองชั่วโมง หลังจากผู้โดยสารคนหนึ่งพยายามโยนเหรียญเข้าไปในเครื่องยนต์ของเครื่องบิน
และเช่นกัน หนึ่งปีก่อนหน้านั้น หญิงชราวัยแปดสิบคนหนึ่งโยนเหรียญเงินหยวนเข้าไปในเครื่องยนต์ของเครื่องบินสายการบินไชนา เซาท์เธิร์น ที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางไปห้าชั่วโมง
เหตุการณ์แบบนี้ถูกปลูกฝังเป็นความเชื่อ และเป็นความเชื่อเรื่องความมีโชคอาจจบด้วยความจริงของโศกนาฏกรรมที่เกิดจากความมืดบอดทางปัญญา
……………
ข่าวแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี นายทหารชั้นสูงบ้านเราดอดไปพบหมอดูชื่อดังที่พม่า กิตติศัพท์เล่าลือว่าทำนายทายทักแม่นยำยิ่ง
นายกรัฐมนตรีต้องการรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะรอดกระแสการเมือง นักการเมืองอยากรู้ว่าควรย้ายมุ้งหรือไม่ ทหารระดับสูงอยากรู้ว่าควรยุ่งกับการเมืองหรือไม่ หรือถ้าก่อรัฐประหาร จะถูกจับและประหารหรือไม่ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยากรู้ว่าควรอยู่ข้างนักการเมืองกลุ่มไหน
เคยมีข่าวว่า รัฐมนตรีบางคน เวลาประชุมกับใคร ต้องตัดไม้ข่มนาม เช่นฝ่ายตรงข้ามเกิดปีหมู ก็เอารูปปั้นเสือมาวางไว้เวลาประชุมหรือต่อรองทางการเมือง
ไม่น่าเชื่อว่า พ.ศ. นี้ยังทำพิธีตัดไม้ข่มนามกันอยู่!
แม้แต่ในประเทศที่เจริญด้วยวิทยาการก็ไม่ต่างกันนัก มีข่าวว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐบางคน เช่น รอนัลด์ เรแกน ก็ต้องพึ่งหมอดู
จนทำให้เรารู้ว่า ผู้นำโลกที่แท้จริงก็คือหมอดูนี่เอง!
ความเชื่อนี้ฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก อาจเพราะความกลัว
กลัวพลาด กลัวล้มเหลว กลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ดังนั้นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพวกน่าจะดีกว่าสู้คนเดียว
แต่มันเป็นความอุ่นใจที่วางบนความมืดบอดทางปัญญา
ในต้นปี พ.ศ. 2562 มหาเศรษฐีชาวไต้หวัน แทร์รี กั๋ว ประกาศจะลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจากเทพธิดาสมุทรหม่าจู่ (媽祖) มาเข้าฝัน ขอให้เขาทำการใหญ่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้องเกี่ยวกับชาวโลกมากอย่างไม่น่าเชื่อ!
……………
ในนวนิยายเรื่อง เพชรพระอุมา มีตอนหนึ่งเล่าเรื่องเมืองโบราณแห่งหนึ่งซึ่งต้องคำสาปนาม นิทรานคร อาณาจักรนี้เมื่อหลายพันปีก่อนเคยรุ่งเรือง แต่ถูกหมอผี มันตรัย ใช้มนตร์ดำสาปชาวเมืองตกอยู่ในสภาพหลับไหล ชาวเมืองกลายเป็นผีกองกอยส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังก๋องๆ ก๋อยๆ เหมือนเปรตขอส่วนบุญ
ในเรื่องนี้ พระเอกและพวกช่วยปลดปล่อยเมืองนี้จากคำสาป ทุกคนแฮปปี้ยกเว้นมันตรัย!
ทว่า ‘นิทรานคร’ ยังไม่ตาย เพราะโลกเราโดยเฉพาะเมืองไทยยังมี ‘มันตรัย’ อีกมากมายแฝงในรูปพระ หมอดู อาจารย์ นำเสนอพุทธพาณิชย์รูปแบบต่างๆ ไม่ขาดสาย การตลาดเสนอสินค้าตัวใหม่ ตั้งแต่การกู้เงินทำบุญ ด้วยสโลแกนประเภท ‘ทำบุญยิ่งมาก ยิ่งขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้น’
การทำบุญแบบผ่อนชำระรายเดือน การซื้อแพกเกจทัวร์ไปสวรรค์ การจับจองชีวิตที่ดีกว่าในชาติ การแก้กรรม การปลุกเสกพระเครื่อง ไปจนถึงการสร้างจรวดทองอร่ามพาผู้บริจาคเงินไปสวรรค์ ตุ๊กตาลูกเทพ ฯลฯ พิสดารพันลึกขึ้นไปทุกวัน จนบ้านเราในเวลานี้เป็น ‘นิทรานคร’ เต็มตัวนั่นคือเมืองแห่งไสยศาสตร์
ความจริงพุทธพาณิชย์โดยตัวมันเองไม่ใช่คำเลวร้าย หมายถึงการค้าเกี่ยวกับพุทธศาสนา ขายสังฆภัณฑ์ ขายดอกไม้บูชา ขายหนังสือธรรมะ ฯลฯ ศาสนาอื่นก็มีการพาณิชย์ เช่น คริสต์พาณิชย์ ขายคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน รูปพระเยซู ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่เรามักใช้คำพุทธพาณิชย์ในนัยของการขายความงมงายและไสยศาสตร์มากกว่า
พุทธพาณิชย์ในนัยนี้มีความขัดแย้งในตัวมันเอง เพราะแนวทางพุทธต่อต้านความงมงาย กิจกรรมการตลาดเหล่านี้หาใช่พุทธไม่ หากวัดหรือสำนักเหล่านี้เรียกตัวเองว่าพุทธก็คือการค้าที่อุตริใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น เป็นเพียงเซลส์แมนสวมชุดเหลือง มิเพียงไม่ใช่พุทธแล้ว ยังดูหมิ่นพุทธศาสนาอย่างแรงด้วย เพราะพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งปวง
ในสมัยก่อน พุทธพาณิชย์ยังแคบมาก มีเพียงพระเครื่อง วัตถุมงคล เมื่อผมมาเมืองหลวงครั้งแรก คำว่า ‘ทัวร์สวรรค์’ เพิ่งเริ่มฮิต ผ่านไปห้าสิบปี เราก้าวจากทัวร์สวรรค์ไปไกลหลายร้อยโยชน์
พุทธศาสนากับไสยศาสตร์เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ไม่อาจนำมารวมกันได้ไม่ว่าด้วยตรรกะใดๆ เหตุผลเพราะแนวคิดของสองทางนี้ไปคนละทิศ แต่คนจำนวนมากทำไปเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นน้ำกับน้ำมัน ผสมอย่างไรก็ไม่เข้ากัน
ไสยศาสตร์มาจากคำว่า ไสย แปลว่า หลับ
หลับด้วยความไม่รู้ หลับด้วยความงมงาย หลับด้วยอวิชชา
ตรงข้ามกับคำว่า พุทธ ซึ่งแปลว่าตื่น
พุทธไม่ใช่ชื่อบุคคล แต่เป็นสัญลักษณ์หรือฉายาของผู้ที่ตื่นแล้ว
ผู้ที่ดำเนินตามรอยอรหันต์ก็คือผู้ที่แสวงหาทางตื่น ตื่นรู้ ตื่นด้วยปัญญา ตื่นด้วยความเข้าใจ ตื่นด้วยความเมตตา
ดังนั้นเมื่อเดินไปตามทางอีกสาย ก็เดินตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง มันคือทางไปสู่ความหลับ ความไม่รู้ เข้าสู่สภาวะ ‘นิทรานคร’
พูดง่ายๆ คือ หากเดินไปตามทางพุทธ ก็จะไม่สามารถเดินไปตามทางของไสย ถ้าเชื่อไสยศาสตร์ ก็ไม่มีทางเป็นพุทธด้วย เพราะตื่นกับหลับเป็นคนละทางกัน เราไม่สามารถตื่นและหลับได้พร้อมกัน
เราไม่อาจอิ่มและหิวพร้อมกัน
แก้วน้ำไม่อาจเต็มและว่างพร้อมกัน
เราไม่อาจบินเหนือฟ้าและดำดินพร้อมกัน มันเป็นคนละทิศคนละทาง
ยิ่งเดินไปตามทางไสยศาสตร์ไกลเท่าไร ก็ยิ่งห่างจากพุทธศาสตร์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเห็นพระปลุกเสก ขายทัวร์สวรรค์ เราก็รู้ได้ว่านั่นคือพระนิกายผี ไม่ใช่พระทางพุทธศาสนา
ใครก็ตามที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติ ใช้ความเชื่อความงมงายเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต สมควรเรียกตัวเองว่าชาวกองกอยหรือชาวมันตรัย แต่ไม่อาจเรียกตัวเองได้ว่าเป็นชาวพุทธ
……………
วินทร์ เลียววาริณ
jeng เป็นบทความที่..ยอดเยี่ยม!!
16 ก.ย 2562 เวลา 12.26 น.
ผมคิดว่าชีวิตของคนเรานั้นจะดีขึ้นมาได้ก็ด้วยเพราะความคิดและในการกระทำมากกว่าที่เราจะไปเชื่อกับในสิ่งที่เรามองไม่เห็น.
16 ก.ย 2562 เวลา 13.48 น.
จริงทั้งหมด เห็นด้วยทุกข้อความ
16 ก.ย 2562 เวลา 12.19 น.
Kiti123 อาจไม่ได้เป็นอย่างคุณวิทร์คิดก็ได้ มันไม่ได้เกิดจากความเขลาเบาปัญญาเสมอไป คนฉลาดจำนวนมากก็มีความเชื่อในเรื่องแปลกๆเยอะอยู่ อย่าไปคิดว่าเขาโง่ เป็นคนหลับ ไม่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ เอาตามความคิดผม คนที่เชื่อในสิ่วที่พิสูจน์ได้ ก็นับเป็นคนหลับ ในศาสนาพุทธได้
. คนหลับ ในศาสนาพุธท น่าบ่งถึงคนมีกิเลสตัณหากล้ามากกว่า และกิเลสตันหาก็ก่อให่เกิดเรื่องตามที่คุณวิทร์ว่ามานั่นแหละครับ ทุกสิ่วต้องเปลี่ยนแปลง ไม่กี่ปีทุกคนก็ต้องตายกันไป นี่แหละเป็นความจริง และไม่มีใครมองเห็นทางออก
17 ก.ย 2562 เวลา 09.55 น.
suthep subongkot กูโคตรเบื่อจอนนี่เคราดกเลย เปิดไปไหนก็เจอ ยัดเยียดสุดๆ ใครมันจะหัวล้าน หรืออยากมีเครานักหนา แม่งหมดค่าโฆษณาไปเท่าไหร่ว่ะ
19 ก.ย 2562 เวลา 09.41 น.
ดูทั้งหมด