ซูเปอร์ฮีโร่มีไว้เพื่ออะไร? เชื่อว่าใครหลายๆคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปกป้องโลกมนุษย์จากเหล่าร้าย” เพราะมันเป็นความเข้าใจได้โดยทั่วกันว่าฮีโร่คือยอดมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับพลังอธรรมเพื่อผดุงรักษาความสงบสุขของโลกเอาไว้ เราได้เห็นหนังหลายๆเรื่อง ซีรีส์หลายๆชุดที่พูดถึงซูเปอร์ฮีโร่และวายร้าย ทั้งแบบฉายเดียว แบบกลุ่ม หลากหลายจุดกำเนิดและปัญหาที่แตกต่าง แต่ทั้งหมดทั้งมวล สุดท้ายมันก็คือเรื่องๆเดียวกัน – การปกป้องรักษามนุษยชาติจากภัยร้ายที่เกินความสามารถคนทั่วไป
เราอาจจะเรียกได้ว่า The Boys คือซีรีส์ที่เข้ามาถูกที่ถูกจังหวะ การปรากฏตัวของมันภายหลังภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์อย่าง Avengers: Endgame (2019) หรือหนังฮีโร่จากค่ายต่างๆ (ที่กลายเป็นจักรวาลเต็มไปหมด) สร้างประสบการณ์แห่งความย้อนแย้งระหว่างชมให้กับเราพอสมควร เพราะท่ามกลางเรื่องราวการต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างพลังธรรมะและอธรรม มันกลับเป็นซีรีส์ที่ตั้งคำถามกับเรื่องอื่นๆในชีวิตของซูเปอร์ฮีโร่ พลิก บิด และเปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความหมายใหม่แก่ผู้ชม เราเลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหมาะเจาะมากๆในการปรากฏตัวช่วงนี้ เพราะเกือบทุกประเด็นที่ The Boys เล่า มันไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเห็นในหนังหรือซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ผ่านมาเลยสักนิด เพียงแต่เป็นการออกนอกเส้นทาง เพื่อสร้างการตีความใหม่ในฉบับของตัวเอง: จะเป็นอย่างไรถ้าซูเปอร์ฮีโร่บนโลกของคุณเป็นเพียงแค่พวกเฮงซวย?
โลกใน The Boys ไม่ได้แตกต่างจากโลกที่มี Avengers หรือ Justice League นัก ซูเปอร์ฮีโร่ในโลกนี้ได้รับความนิยมชมชอบในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัยและมอบความหวังให้แก่ประชาชนทุกๆวัย สิ่งเดียวที่ทำให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไปคือบริษัท วอท อินเตอร์เนชั่นแนล (Vought International) ผู้ถือสิทธิ์ดูแลเหล่ายอดมนุษย์ทุกคนกว่า 200 ชีวิตทั่วประเทศ ที่ไม่ได้มีเป้าหมายในการปกป้องรักษามนุษยชาติ (แบบที่ควรเป็น) หากแต่เป็นการทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างกำไรจากเหล่ายอดมนุษย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรื่องราวสำคัญใน The Boys จึงไม่ได้พูดถึงการปราบเหล่าร้าย หยุดวิกฤตโลก หากแต่เป็นการชำแหละความเน่าเฟะของบริษัทที่ใช้ความฝันและความเชื่อของผู้คนกอบโกยเม็ดเงินเข้ากระเป๋าอย่างบ้าคลั่งพร้อมๆกับรวบอำนาจทุกอย่างให้เบ็ดเสร็จจบที่พวกเขาแต่เพียงผู้เดียว (หาก ธานอส ต้องรวบรวมอัญมณีเพื่อควบคุมจักรวาล วอท ก็คงรวบรวมอำนาจรัฐทุกภาคส่วนเพื่อปกครองประเทศ)
คุณอาจจะได้เห็นฉากต่อสู้และโชว์พลังของเหล่า เดอะเซเว่น (ฮีโร่ตัวท็อปที่ วอท คัดเลือกมาเป็นยอดมนุษย์ยืนหนึ่งของบริษัท) แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์สนุกและจัดจ้านจริงๆกลับเป็นเบื้องหลัง การทำแบรนด์ดิ้ง ของบริษัทอันแสบสันชั่วร้ายเสียมากกว่า ตั้งแต่ การทำโฆษณา เรียลลิตี้โชว์ การกุศล ของฝาก ไปจนถึงการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ของตัวเอง (และแน่นอนว่ามันชื่อ Vought Cinematic Universe) แต่หนักที่สุดคงเป็นการโยงเอาเหล่าฮีโร่มาเกี่ยวข้องกับศาสนาว่าเป็นพรจากพระเจ้านี่แหละ (พาร์ทนี้สนุกมาก แต่ขอไม่เล่าเยอะ) การที่ซีรีส์พยายามเปลี่ยนสถานะของฮีโร่ให้กลายเป็น สินค้าชิ้นหนึ่ง นั้นน่าสนใจและสร้างความเป็นไปได้ต่อเรื่องราวอย่างกว้างขวางมากๆ คอนฟลิกต์สำคัญที่เกิดขึ้นใน The Boys จึงเป็นการรับมือกับกระแสสังคมเพื่อรักษาความนิยมของฮีโร่ไม่ให้ลดทอนลงไป เราจะได้เห็นการแก้เกมอันหลักแหลม (แกมกวนตีน) ของบริษัทที่สามารถจัดการกับทุกปัญหาได้เสมอทั้งนอกภายและภายใน ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะดูร้ายแรงเสียแค่ไหน พวกเขาก็จะหาทางพลิกสถานการณ์ สร้างโอกาสเพื่ออำนาจและกำไรของบริษัทได้อยู่ดี
“ยังไงบริษัทก็ชนะเสมอ”
การที่ฮีโร่กลายเป็นโปรดักซ์ชิ้นหนึ่งของบริษัทส่งผลไปยังชีวิตในอุดมคติของซูเปอร์ฮีโร่อย่างน่าสนใจ The Boys เล่นเรื่องนี้อย่างจริงจังและฉลาดในการลำดับความเข้มข้นของมันอย่างสนุก ค่อยๆให้เราแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของฮีโร่แต่ละคนว่าวันๆหนึ่งพวกเขาต้องทำอะไรบ้างในฐานะยอดมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การออกปราบเหล่าร้าย ช่วยผู้บริสุทธิ์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ก็ไม่วายต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำแบรนด์ดิ้งเช่นกัน เราจึงได้เห็นรายละเอียดเหวอๆชวนเป็นงง อาทิ ถ้าฮีโร่จับคู่เป็นดูโอ้ตรวจตราเมืองจะเพิ่มเทรนด์ดิ้งใน Twitter กว่าการฉายเดี่ยว หรือการสร้างสีสันให้เหตุการณ์ เพิ่มความเท่ด้วยโควทประจำตัวก็ช่วยให้วิดีโอกิจกรรมออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สนุกยิ่งขึ้น
การทำแบบนี้ทำให้ภาพของซูเปอร์ฮีโร่ค่อยๆถูกลดทอนจากภาพจำของเราไปทีละนิด ในเมื่อชีวิตเขาทั้งภายในและภายนอกถูกคุกคามและควบคุมจากบริษัทให้ลดความต้องการของตัวเอง และสานต่อเจตนารมณ์ขององค์กรยิ่งขึ้น เรื่องราวในซีรีส์ส่วนหนึ่งจึงเป็นการสำรวจสภาวะจิตใจของเหล่าฮีโร่เดอะเซเว่นถึงการตั้งคำถามต่อหน้าที่และสิ่งที่ตัวเองเป็นว่าทั้งหมดนี้ยังเรียกว่า “ซูเปอร์ฮีโร่” ได้อยู่หรือไม่ หรือพวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่ได้รับพลังพิเศษเฉยๆหาใช่ฮีโร่อย่างที่ใครเข้าใจ ลากยาวไปจนถึงประเด็นที่ว่า นิยามของซูเปอร์ฮีโร่คืออะไร โลกเราจำเป็นต้องมีพวกเขาจริงหรือ ในเมื่อวายร้ายเหนือมนุษย์ไม่ได้ปรากฎขึ้น ไม่ได้มีภัยอันตรายจากนอกโลก แล้วเราจะมีฮีโร่แข็งแกร่งไว้เพื่ออะไรกัน?
“ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยากให้ฉันเป็นฮีโร่จริง ๆ หรือเปล่า
ฉันว่าเขาแค่อยากให้ฉันดูเหมือนฮีโร่”
ความน่าสนใจในเส้นเรื่องของพวกซูปส์คือการที่มันถูกเล่าขนานไปกับเส้นทางแห่งอำนาจของ วอท ที่ค่อยๆเติบโตขึ้น เพราะยิ่งเรารู้จักชีวิตของเหล่าฮีโร่มากเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความเล็กจิ๋วของพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่ วอท กำลังเป็นและกำลังจะสามารถทำได้ในอนาคต เพราะในขณะที่ฮีโร่ทุกคนกำลังสับสนกับเส้นทางชีวิต เป็นห่วงรายได้ และกลัวเสียตำแหน่งปัจจุบันไป บริษัทผู้เป็นเจ้าของพวกเขากำลังควบรวมอำนาจกลาโหม ตั้งตนเป็นผู้ปกป้องประเทศแทนรัฐบาลโดยสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เพราะแบบนี้มันเลยสรุปได้ง่ายๆว่า เหนือซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือเหล่าผู้บริหารชั้น 82 ของตึก – พวกเขาต่างหากที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง
นอกจากจะถูกลดทอนอำนาจอันยิ่งใหญ่แล้ว The Boys ยังค่อยๆเปลี่ยนสถานะของฮีโร่ให้กลายเป็นคนธรรมดาทั่วไปผ่านการชำแหละ จุดอ่อน ที่พวกเขาค่อยๆเปิดเผยออกมาทีละนิด การที่เรื่องเลือกเริ่มต้นด้วยภาพของ เดอะเซเว่น ขณะอยู่ต่อหน้าสื่อและบุคคลภายนอก ก่อนจะค่อยๆพาเราเข้าไปยังชีวิตเบื้องหลังอันเจ็บปวดรุนแรงกับความรู้สึกเราอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขาทุกคนลึกๆล้วนต่างเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีความรัก มีความโกรธ มีความเศร้า และอ่อนแอเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป การที่ช่วงท้ายซีรีส์พาผู้ชมไปพบกับจุดแตกหักและขาลงของแก๊งซูปส์จึงเป็นความท้าทายที่น่าสนใจมากๆ เพราะในขณะที่ทุกคนดูเหมือนกำลังเสียท่า หนึ่งเดียวที่ยังยืนเด่นอย่างแข็งแกร่งกลับเป็น วอท ที่ไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนได้เลยสักนิดเดียว
“ทุกคนมักจะถามว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร
รังสีแกมม่า กริชเหล็ก หรืออะไรโง่ๆน่าขำพวกนั้นเหรอ
ความจริงคือจุดอ่อนของเราก็เหมือน ๆ ทุกคน คนนี่แหละ คนที่เราห่วงใย”
แม้ว่าการดำเนินเรื่องจะดูเร้าใจ และเต็มไปด้วยอารมณ์ขันร้ายๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าครึ่งหลังของ The Boys ค่อนข้างเศร้าอย่างเห็นได้ชัด การที่เรื่องค่อยๆโยนความสำคัญให้กับเหล่าฮีโร่เพื่อเล่าถึงระบบและแวดล้อมที่ตัวเองกำลังอาศัยเต็มไปด้วยบาดแผลแสนอึดอัด ในหนังฮีโร่ทุกๆเรื่องมักจะพูดเสมอว่าการเป็นฮีโร่นั้นไม่ง่าย แต่บางทีการเป็นฮีโร่ให้กับ วอท คงเป็นเรื่องยากที่สุด และเราไม่ได้คิดหรือทันเตรียมตัวเลยว่าซีรีส์จะพาคนดูไปสู่จุดที่รู้สึกร่วมกับ เดอะดีพ หรือ โฮมแลนเดอร์ ได้ถึงเพียงนี้ (เพราะทั้งสองตัวละครเปิดตัวด้วยความระยำสุดขีดตั้งแต่อีพีแรก) แต่นั่นแหละ มันคือเรื่องของบริษัทที่พยายามเปลี่ยนโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นฮีโร่ ผู้สูญเสีย หรือประชาชนคนธรรมดา ต่างก็ต้องรับผลกระทบจากอาการบ้าอำนาจเหล่านี้ด้วยกันทั้งสิ้นอยู่ดี (การมีอยู่ของ คอมพาวนด์ วีนั้นน่าสนใจมากๆ หวังว่าซีรีส์จะพาเราไปสำรวจหลังจากนี้ไกลกว่าเดิม)
เราสามารถพูดได้อย่างไม่ขัดเขินเลยว่า The Boys คือหนึ่งใน หนัง/ซีรีส์ ที่พูดถึงซูเปอร์ฮีโร่ได้สนุก ลุ่มลึก และน่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันชวนให้นึกถึงหนังโปรดของเราเมื่อสิบปีก่อนอย่าง Watchmen (2009) ด้วย โดยเฉพาะการวางสถานะเป็นเรื่องราวฮีโร่ชีวิตเส็งเคร็ง กับระบบสังคมชวนละเหี่ยใจ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของ วอท เท่านั้นที่ทำให้มันออกมาแน่นสะใจแบบนี้ แต่พล็อตกลุ่มมนุษย์คนธรรมดาที่วางแผนจะโค่นล้มบริษัท กำจัดฮีโร่ และสร้างโลกใหม่ในแบบของตน ก็เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพื้นที่หลายๆส่วนเช่นกันด้วย โดยเฉพาะเรื่องของศีลธรรมและการเหมารวม (ในโลกที่ซูเปอร์ฮีโร่อยู่ภายใต้องค์กรเดียวกัน เราสามารถเหมารวมว่าทุกคนเป็นพวกเฮงซวยได้หรือไม่)
สำหรับเรามันเลยเป็นซีรีส์ที่มีหลากหลายฟังก์ชั่นเต็มไปหมด ในแง่หนึ่งมันเหมือนจะดีไซน์มาเพื่อจิกกัดหนังฮีโร่ทุกเรื่องที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าซีรีส์เองก็เคารพความรักที่ผู้คนมีต่อยอดมนุษย์ด้วย คำถามที่ว่า “ซูเปอร์ฮีโร่มีไว้เพื่ออะไร?” จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกวางไว้อย่างตายตัวชัดเจน เพียงแต่เป็นมุมมองเดียวที่เราต้องลองคิดทบทวนดูดีๆอีกที ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆท่ามกลางภาพยนตร์และซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่อันมากมายในปัจจุบันนี้
ใครสนใจสามารถรับชมได้ทาง Prime Video ของ Amazon ตอนนี้เลยครับ มีฉายไปแล้ว 1 ซีซั่น จำนวน 8 ตอน (ตอนละประมาณ 50 นาที – 1 ชั่วโมง) คิดว่าซีซั่น 2 น่าจะมาให้ชมกันปีหน้า ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
J เด็กๆไม่ควรดูนะเรื่องนี้ติดเรท
11 ก.ย 2562 เวลา 00.53 น.
W.Direk_666 🐮789🐉♍♑🇹 แนวของหนังดี แต่ฉากเซ็กส์มันโจ๊งครึ้มมากๆไม่้เหมาะแก่เยาวชนเลยและฉากฆ่าก็แซวหนังของซุป..ได้เจ็บปวดดี..เรื่องๆนี้จุดขายแค่แซวหนัง แต่ก็สนุก เรท20+..
11 ก.ย 2562 เวลา 00.28 น.
สนุก
11 ก.ย 2562 เวลา 11.18 น.
Chamnsth คำเตือน
พ่อแม่อย่าคิดว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แล้วพาเด็กหรือปล่อยเด็กๆดูกันเองนะ เหอๆ
11 ก.ย 2562 เวลา 05.36 น.
JEWEL มี บวบ กันด้วย ปากเลอะเลย..
11 ก.ย 2562 เวลา 03.08 น.
ดูทั้งหมด