ทั่วไป

แรงงานเฮ! พรรคการเมืองแห่ขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” นโยบายขายฝันที่ทำได้จริงหรือ?

Another View
อัพเดต 20 มี.ค. 2562 เวลา 03.51 น. • เผยแพร่ 20 มี.ค. 2562 เวลา 05.00 น.

แรงงานเฮ! พรรคการเมืองแห่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนโยบายขายฝันที่ทำได้จริงหรือ?

หนึ่งในนโยบายที่กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้ง คือเรื่องของ ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ย้อนกลับไปตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทกลายมาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ที่ได้จัดตั้งรัฐบาล (และโดนรัฐประหารไปก่อนจะครบวาระ) การเลือกตั้งครั้งนี้ดูเหมือนแทบทุกพรรคจะชูเรื่องของค่าแรงมาเป็นนโยบายจูงใจผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ

เพราะอย่างที่เห็นมาแล้วว่าในปี 2556 ที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ชินวัตรสามารถผลักดันจนเงินเดือนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานจากต่ำที่สุดที่ 150 กว่าบาท มาเป็นสูงสุดที่ 300 บาทได้จริง ในปีนี้ ใครก็ตามที่ได้จัดตั้งรัฐบาล ก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าในครั้งนั้นจะโดนหลายกระแสต่อต้านก็ตาม

ว่ากันง่าย ๆ มีคนโยนหิน แผ้วทางไว้ให้แล้วว่าทำได้ จะขึ้นอีกรอบจะเป็นอะไรไป

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ จะว่าไปก็เหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดของสองสำนัก หนึ่งคือสำนักที่เชื่อในสิทธิของผู้ใช้แรงงาน ที่จำเป็นต้องได้รับค่าจ้างเป็นปัจจัยยพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิต ที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO นิยามไว้ว่า ค่าแรงขั้นต่ำควรอยู่ในอัตราที่แรงงานสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวอย่างน้อยรวมสามชีวิตได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระดับหนึ่ง

ซึ่ง ณ ปัจจุบันประเทศไทยให้อยู่ที่ 308 - 330 บาท หรือสูงสุดที่ 9,900 บาทต่อเดือน ก็ยังไม่เท่ากับรายจ่ายครัวเรือนเฉลี่ยของไทยที่12,410 บาท ตามข้อมูลความจำเป็นพื้นฐานที่ทำการสำรวจเมื่อปี 2558

ในขณะที่อีกสำนักที่เชื่อในกลไกตลาดและระบบเศรษฐกิจ ก็มองว่าค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นโดยไม่อิงตามอัตราเงินเฟ้อที่เป็นจริง อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจเสียหาย เงินเฟ้ออาจพุ่งสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ซ้ำร้ายอาจทำให้อัตราการจ้างงานลดลง และหันไปใช้ระบบอัตโนมัติแทนที่ ตามกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทเมื่อ 6 ปีที่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากการคาดการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีจำนวนธุรกิจที่ปิดกิจการเพิ่มสูงขึ้น สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน (เนื่องจากความสามารถของแรงงานพัฒนาไม่ทันค่าจ้าง ทำให้ผลิตได้เท่าเดิมแต่ต้นทุนเพิ่ม) นอกจากนี้ยังกระทบกับแรงงานโดยตรง เนื่องจากถูกตัดลดสวัสดิการด้านอื่น และเอาเข้าจริง ก็มีจำนวนแรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราขั้นต่ำมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ดังนั้น การจะขึ้นอัตราค่าแรงที่เหมาะสม จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการแข่งกันโยนตัวเลขให้สวยหรู ดูแพงกว่าพรรคคู่แข่ง แต่ปัจจัยที่อยู่รอบตัวเลขนั้นต่างหาก ที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่าปัญหาที่ตามมาหลังขึ้นค่าแรง จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน! (ถึงขั้นประธานสภาอุตสาหกรรมต้องเสนอกลางเวทีดีเบตว่า เลิกเอาค่าแรงมาเป็นนโยบาย แล้วปรับลอยตัวตามทักษะแรงงานเถอะ)

ลองหันมาดูนโยบายของแต่ละพรรคที่ชูจุดเด่นเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำอย่างพรรค พลังประชารัฐที่ออกมาบอกว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 425 บาทจนโดนพรรคอื่น ๆ และประชาชนตั้งคำถามถึงปัจจัยที่จะมารองรับ รวมถึงคำถามว่า ‘ทำไมเพิ่งจะมาทำเอาตอนนี้’ ทางพรรคก็บอกว่าอัตราที่จะปรับขึ้น จะใช้กับแรงงานที่มีคุณภาพและได้รับการยกระดับทักษะแล้วภายใน 3 ปี จึงน่าติดตามต่อว่าแนวทางการยกระดับแรงงานให้มีฝีมือมากขึ้นจะเป็นอย่างไร และสามารถทำได้จริงหรือไม่ และจะจัดการอย่างไรกับแรงงานหน้าใหม่ที่ยังไม่มีทักษะมากพอ

ในขณะที่พรรค ประชาธิปัตย์ก็ชูนโยบาย ประกันรายได้ไม่ต่ำกว่า120,000 บาทต่อปีหรืออยู่ที่วันละ 333.33 บาท ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่คำว่าประกันรายได้หมายถึงแรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างอย่างที่ควรจะเป็น จะได้รับเงินเพิ่มจากรัฐบาล ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ จะทำอย่างไรหากนายจ้างเลือกที่จะไม่ให้ค่าแรงขั้นต่ำ หรือแรงงานยอมที่จะรับค่าแรงที่ต่ำกว่ากฎหมาย เพื่อให้มีงานทำ และข้อสังเกตเหล่านี้จะกลายเป็นการทำให้นายจ้างได้รับประโยชน์เกินควรหรือไม่

ฝั่งพรรค เพื่อไทยและ อนาคตใหม่เห็นตรงกันว่าค่าแรงขั้นต่ำควรปรับเพิ่มให้เหมาะสมกับสภาวะเงินเฟ้อ เป็นไปตามมติคณะกรรมการค่าแรงขั้นต่ำ และไปเพิ่มในฝั่งสวัสดิการ รวมถึงพรรคอนาคตใหม่ยังเพิ่มในส่วนของนโยบายที่เอื้อให้แรงงานสามารถตั้งสหภาพแรงงาน คุ้มครองแรงงานทุกเชื้อชาติให้ได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้าง ซึ่งไปไกลกว่าตัวเลขจำนวนเงิน และน่าสนใจว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่หากได้มาเป็นรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม เรื่องของค่าแรงขั้นต่ำกับการทำให้เป็นนโยบายขายฝันชาวแรงงานยังเป็นข้อถกเถียงกันต่อไปจนกว่าพรรคที่ได้เป็นรัฐบาลจะผลักดันให้เกิดขึ้นจริง หลังจากนั้นเราจะได้เห็นกันว่าพรรคไหนมีดีแค่ขายตัวเลข และพรรคไหนที่เตรียมตัวมาดี ทำการบ้านผลักดันได้ทั้งระบบ

วันอาทิตย์นี้รู้กัน!

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

https://thaipublica.org/2016/05/natmaytee-04/

https://www.pptvhd36.com/news/

http://www.mol.go.th/employee/interesting_information/4131

https://thestandard.co/thailandelection2562-minimum-wage-policy/

ภาพประกอบ

 https://webwanwan.com/56407
https://siambest8.com/y2020/2419/
https://siambest8.com/y2020/2419/

ความเห็น 72
  • Dæng
    ดีใจ แต่ระวังตกงานไม่มีคนจ้าง หรือคนที่มีงานอยู่แล้ว งานก็จะมากขึ้นเพราะต้องลดคน เศรษกิจแบบนี้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงอยู่ได้ นายจ้างอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีลูกจ้าง
    20 มี.ค. 2562 เวลา 04.13 น.
  • 15🇹🇭🦈𝕭𝖊𝖙𝖆𝖌𝖊𝖓🦈51
    จะเฮกันทำไม?พอมีข่าวขึ้นค่าแรง ข้าวของก็พากันขึ้นราคารออ้างเหตุผล108ที่ทำให้ต้องขึ้นราคา ขึ้นค่าแรงมีประโยชน์อะไรหรอ
    20 มี.ค. 2562 เวลา 05.15 น.
  • กีรติสุนทร
    ดีใจดันเข้าไปไอ้พวกทำลายชาติ750ตัวมันพูดเอาใจเอาจริงทีไรชาติวุ่นวายทุกที่ ไล่ออก.ให้ออก...นายจ้างไร้งานเลี้ยงคนไม่ไหว...หางานมาเท่าไรเป็นค่าแรงลงทุนไม่เหลือแม้แต่ทุน ใครทนไหวสายป่านยาวก็เหนื่อย.รอเฮงอย่างเดียว...แค่บอกขึ้นค่าแรงข้าวแดงร้านข้างที่ทำงานมันขึ้นมา5บาทรอแล้ว.จะขึ้นประกาศออกมาข้าวของเครื่องใช้ในบ้านแค่น้ำขวดแดกทุดวันยังขึ้น1บาทเลย..หลงดีใจความซวยเข้ามาไม่ใช่คนงานอย่างเดียวชาวบ้านกาเช้ากินค่ำเดือดร้อนหนักกว่าพวกมึงหลายเท่า..พอทีเหอะขนาดเขาย้ายโรงงานไปอยู่เขมร..และเวียตนามแล้วไม่รู้สึก
    20 มี.ค. 2562 เวลา 04.08 น.
  • นายจ้างจะจ้างคนน้อยลง เพื่อลดต้นทุน จะหางานยากขึ้น
    20 มี.ค. 2562 เวลา 03.30 น.
  • ดีใจทำเพื่อ ค่าเเรงขึ้น แล้วคิดเหรอว่า อย่างอื่นจะไม่ขึ้นตามมา คิดสิ
    20 มี.ค. 2562 เวลา 05.34 น.
ดูทั้งหมด