สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้าย “ร้อนแรง” ไม่แพ้สถานการณ์ทางการเมือง 4 กระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ต่างเร่งเครื่องสางปมขัดแย้งก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง
ผ่าน PDP
เริ่มจากกระทรวงพลังงานได้ผ่านแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-2580 (PDP 2018) หลังจากที่ยกร่างมาอย่างยาวนานถึง 3 ปี โดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อทบทวนสถานการณ์กำลังผลิตไฟฟ้าในปัจจุบัน และได้จัดทำการพยากรณ์ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี ประกอบด้วย ความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบ 3 การไฟฟ้า และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มาจากการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือขายตรง ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค สะท้อนแนวนโยบายของรัฐบาลและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของแผนปฏิรูปด้านพลังงาน แต่กลับปรากฏเสียงคัดค้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่รอบคอบของแผน ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ LNG มากจนเกินไป ราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดแผน การไม่ยอมระบุปริมาณสำรองไฟฟ้าไว้ในแผน และการนำแผนอนุรักษ์พลังงานไปไว้ช่วงปีท้าย ๆ
หยุดเซฟการ์ดเหล็ก
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่ามกลางปมร้อนที่ผู้ผลิตเหล็กภายในประเทศ และผู้นำเข้าเหล็กมาใช้ในอุตสาหกรรมกำลังตอบโต้กันถึงกรณีที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง (คปป.) มีมติไม่ขยายเวลาการใช้มาตรการปกป้อง (Safeguard : SG) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่น ๆ ต่อไปเป็นครั้งที่ 3 หลังพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องและข้อกฎหมายตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. 2550 ไม่พบความเสียหายอย่างร้ายแรงที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น และยังมีความเสี่ยงที่ไทยจะถูกประเทศคู่ค้าใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสินค้าส่งออกอื่น จากการที่ไทยปกป้องผู้ผลิตเหล็กมานาน 6 ปี
อย่างไรก็ตาม 7 สมาคมผู้ผลิตได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนมติ คปป. โดยอ้างถึงสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หากไม่ต่ออายุมาตรการ SG จะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยไปไม่รอดนั้น
อย่างไรก็ตาม คปป.พิจารณาอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 62 ตามมติเดิม เนื่องจากข้อมูลข้อเท็จจริงจากการไต่สวน และผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (hearing) ร่วม 91 ราย ไม่พบความเสียหายอย่างร้ายแรงที่เกิดกับอุตสาหกรรมภายใน
ทั้งนี้ คปป.ยืนยันว่าการพิจารณากรณีนี้มองถึงข้อเท็จจริงว่ามาตรการ SG เป็นมาตรการเยียวยาความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น มิใช่มาตรการแก้ปัญหาเรื้อรังของอุตสาหกรรมเหล็กรีดร้อนไทยที่เป็นผลจากเหตุอื่น เช่น ปัญหาโครงสร้างการผลิต การบริหารจัดการ และการมีกำลังการผลิตที่เกินความต้องการใช้ในประเทศมาก สุดท้ายความร้อนแรงของประเด็นนี้อาจยังไม่สิ้นสุด หาก 7 สมาคมตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ชะลอนำเข้ามะพร้าว
โค้งสุดท้ายในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รมว.กฤษฎา บุญราชกุมชะตาสินค้ามะพร้าว ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ไขก๊อกปมร้อน “ราคามะพร้าว” ที่ยืดเยื้อมานานนับปี มีมติให้ออกประกาศระงับการนำเข้ามะพร้าวไปจนกว่าราคามะพร้าวภายในประเทศจะสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนการผลิตลูกละ 7-8 บาท โดยขณะนี้มะพร้าวราคาลูกละ 5 บาทเศษ
ทั้งนี้จะมีการพิจารณาทบทวนให้มีการนำเข้าอีกครั้ง หากในเดือนเมษายนราคามะพร้าวปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าผลผลิตในประเทศปี 2562 มีปริมาณ 884,756 ตัน เพิ่มขึ้น 27,836 ตัน หรือ 3.25% จากปี 2561 ที่มีผลผลิตรวม 856,920 ตัน เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่มีมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้า กําหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าควบคุมให้นําเข้าเพียง 2 ท่าเรือเท่านั้น คือ ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง และต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดตามมาตรา 5 (6) ของ พ.ร.บ.การส่งออกไปนอก และการนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า มติคณะกรรมการครั้งนี้ “ไม่เป็นไปตาม” มติคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวซึ่งมี นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯเป็นประธานที่เสนอให้มีการกำหนดสัดส่วนการรับซื้อมะพร้าวในประเทศก่อน 1 ส่วน เพื่อให้มีการนำเข้า 2.5 ส่วน แบ่งใน 2 ช่วงคือเดือน เม.ย.-พ.ค.และช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. เนื่องจากมองว่าการกำหนดสัดส่วนนำเข้าจะไม่สามารถยกระดับราคามะพร้าวได้
ปมเหมืองอัครายังนิ่ง
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่าโค้งสุดท้ายของ “นายอุตตม สาวนายน”อดีต รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่สามารถสะสางประเด็นพิพาทระหว่างเหมืองทองคำชาตรี ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่ ยื่นร้องรัฐบาลไทยต่ออนุญาโตตุลาการ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ด้วยเหตุผลที่ว่าคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ปิดเหมืองทองคำโดยยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า บริษัทคือสาเหตุของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรอบพื้นที่เหมืองหรือไม่
ล่าสุดเคสนี้ได้ผ่านกระบวนการหารือไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการตั้งคณะผู้พิจารณา ซึ่งไม่น่าจะทันในรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งนี้ และประเด็นนี้เป็นกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่มีชีวิตประชาชนใน 3 จังหวัด คือ พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก เป็นเดิมพัน
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!
พวกมึงนี่หาเสียงนี่อะไรก็ได้ นะไอ้สัตว
17 ก.พ. 2562 เวลา 12.29 น.
noy กะลาแลนด์ บอกไม่ให้เป็นนอมินีใคร ตั้งกฎสกัดเขา ว่าแต่เขาอิเหนา...... ขอคันฉ่อง...
17 ก.พ. 2562 เวลา 12.19 น.
(โต) สัสเอ้ย
17 ก.พ. 2562 เวลา 12.17 น.
Tanya ทำไมต้องนำเข้าพืชผลที่เรามีด้วย ทำไมไม่ขายของที่เรามีในประเทศให้เพียงพอกับความตองการของประชาชนก่อน เหลือก็ส่งออก ถ้าไม่พอใช้ค่อยสั่งเข้ามา ยางปาล่มฯลฯ ทำให้เหมือนกัน เราคิดแบบประชาชนธรรมดาๆที่ไม่รู้เรื่องของการเมืองลึกๆว่าทำไมต้องืำอย่างที่ข้าราชการและนักการเมืองทำในเวลานี้ เป็นเราๆต้องให้คนในครอบครัว(หมายถึงคนในประเทศ)มีกินมีใช้สุขสบายก่อนๆที่จะไปอุดหนุนคนนอก
17 ก.พ. 2562 เวลา 12.11 น.
บัณฑิต ทรัพย์คูณ เห็นหน้าแล้วไม่ไปเลือกดีกว่า ก่อนออกมันก็วางยา
17 ก.พ. 2562 เวลา 11.54 น.
ดูทั้งหมด