ประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญกำลังเป็นวาระทางสังคมที่ถกเถียงกันในรอบเดือนที่ผ่านมา
อันที่จริงต้องกล่าวก่อนว่า รัฐบาลที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองก็ได้บรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายเร่งด่วน เมื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 25-26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามาจากการเสนอของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
หลายคนคงจำได้ว่าในช่วงเวลาอันตึงเครียดของการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคพลังประชารัฐได้ไปเชื้อเชิญพรรคต่างๆ มาร่วมงานนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขสำคัญในการตกปากรับคำร่วมจัดตั้งรัฐบาล
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นคำสัญญาที่รัฐบาลได้ผูกมัดตนเองไว้กับประชาชน (ผ่านการแถลงด้วยวาจาที่ประชาชนได้ติดตามดูทั้งประเทศ) โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ที่กำลังถูกจับตามองในประเด็นนี้ และจะถูกทวงถามคำสัญญาจากสังคมและผู้เลือกตั้งหลังจากนี้เป็นต้นไป
หลังจากการแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้น พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านก็ริเริ่มรณรงค์ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อสาธารณะ ซึ่งบรรดาพรรคฝ่ายค้านได้ชูประเด็นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้ว จึงเข้าใจได้ว่าต้องผลักดันตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
นอกจากบรรดาพรรคการเมืองแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มองค์กรในภาคประชาสังคม กลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน และกระทั่งอดีตผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 บางคน
เนื่องจากได้แลเห็นผลเสียของรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปัญหาความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลจนมาถึงปัญหาการต่อรองผลประโยชน์ในปัจจุบัน
อันที่จริง ประชาชนจำนวนมากก็ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคม นิด้าโพลได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนที่เห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเร่งด่วนมีมากที่สุดกว่ากลุ่มอื่น (ร้อยละ 37.04)
โดยให้เหตุผลว่าเพราะการได้มาของนายกรัฐมนตรีและวุฒิสมาชิกขาดความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีความยุติธรรม ไม่แตกต่างกับการรัฐประหาร ขัดกับความต้องการของประชาชนในการใช้สิทธิเสรีภาพ ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสภาฯ และเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
โดยประเด็นที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ ที่มาและอำนาจวุฒิสมาชิก (ส.ว.), ที่มาของนายกรัฐมนตรี, การปฏิรูปประเทศ, ระบบการเลือกตั้ง, แนวนโยบายแห่งรัฐ, สิทธิและเสรีภาพของประชาชน, ที่มาของ กกต. และการจัดตั้งองค์กรอิสระ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการผลักดันประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ก็มักมีคำถามตามมาว่าทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ? บางคนแย้งว่ารัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ควรแก้ปัญหาปากท้องก่อน รัฐธรรมนูญรอไว้ค่อยแก้ทีหลังก็ย่อมได้เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดีและทำมาค้าขายคล่องตัวแล้ว
การถกเถียงที่แยกประเด็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญกับปัญหาปากท้องออกจากกันแบบขั้วตรงข้ามเช่นนี้นับว่าชวนให้หลงทิศผิดทาง เพราะชี้นำให้เข้าใจว่าสองปัญหานี้แยกขาดจากกัน ไม่เกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง ทำเรื่องหนึ่งก่อน แล้วค่อยทำอีกเรื่องหนึ่งทีหลัง
แท้จริงแล้ว ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งการแก้รัฐธรรมนูญกับการแก้ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและเป็นเรื่องเดียวกัน
การเปิดประตูให้มีการแก้ไขกติกาสูงสุดของประเทศให้มีความเป็นธรรม มีธรรมาภิบาล และมีความสมดุลทางอำนาจ จะเป็นกุญแจไขไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและสะท้อนความต้องการของประชาชนที่กำลังประสบพิษภัยจากเศรษฐกิจที่ชะงักงัน
ทำไมการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงสำคัญต่อการแก้ปัญหาความอยู่ดีกินดีของประชาชน?
ตอบอย่างตรงประเด็นที่สุด
หนึ่ง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 สร้างให้เกิดรัฐบาลที่อ่อนแอ และระบบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ตราบใดที่ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเฉพาะในส่วนระบบเลือกตั้ง สังคมไทยก็จะไม่สามารถมีรัฐบาลที่เข้มแข็งและการเมืองที่มีเสถียรภาพ
ซึ่งจำเป็นต่อการผลักดันนโยบายระยะยาวและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลก ณ ขณะนี้ที่มีความผันผวนตึงเครียดสูง เรายิ่งต้องการรัฐบาลที่สามารถเสนอวิสัยทัศน์ระยะยาวในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง และรับมือกับความท้าทายของโลกได้
รัฐบาลผสม 19 พรรคจะไม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายนี้ และเหตุที่เรามีรัฐบาลผสมมากพรรคชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนั้นก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตโดยตรงของรัฐธรรมนูญ 2560 (บวกกับสูตรคำนวณของกกต.) ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ อย่างมากที่สุด
รัฐบาลผสมของไทยประกอบด้วยพรรค 7-8 พรรคก็ถือว่ามากแล้ว ซึ่งก็ยังมีอายุสั้นและล้มไปในเวลาประมาณ 1-2 ปี
การมีพรรคขนาดกลางและเล็กรวมกันถึง 19 พรรคทำให้การเมืองเต็มไปด้วยการต่อรองผลประโยชน์เป็นอันแรก ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลผสมกังวลที่สุด คือความอยู่รอดทางการเมือง (political survival) ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง ตำแหน่งรัฐมนตรีต้องจัดสรรเพื่อให้แต่ละพรรคพอใจ จึงอาจไม่ได้คนที่มีความสามารถที่สุด นอกจากนี้ พรรคขนาดเล็ก 1 ที่นั่งก็สามารถมีอำนาจต่อรองภายใต้ภาวะเช่นนี้ สามารถขู่ถอนตัว เจรจาขอผลประโยชน์เพื่อแลกกับการยกมือสนับสนุนรัฐบาล และการต่อรองเช่นนี้จะมีให้เห็นตลอดไปตราบที่ยังไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ
รัฐบาลที่อายุสั้นย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้ เพราะไม่มีเวลาทำงานต่อเนื่อง สามารถสะดุดขาล้มได้ตลอดเวลา (เร็วๆ นี้ ในที่ประชุมแห่งหนึ่ง รัฐมนตรีบางคนยังคาดการณ์ให้ที่ประชุม ฟังว่าอายุการทำงานของเขาไม่น่าจะเกิน 1ปี)
รัฐบาลผสมจำนวนมากยังไม่สามารถจัดทำนโยบายที่มีเอกภาพ เพราะนโยบายของแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน การทำงานร่วมกันจึงลำบาก เต็มไปด้วยการขัดขาและการแข่งขันสร้างผลงานของแต่ละพรรคในกระทรวงที่ตนรับผิดชอบเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า มากกว่าจะทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ
เช่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนที่ต้องอาศัยความร่วมมือข้ามกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน แต่ผลการจัดสรรโควต้ารัฐมนตรีเพื่อเอาใจทุกพรรคทำให้กระทรวงเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคการเมืองต่างกัน 3-4 พรรคที่มิได้มีแนวทางสอดคล้องกัน
การเมืองที่ไร้เสถียรภาพและขาดทิศทางเชิงนโยบายย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดังนั้นจึงส่งผลต่อภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม
สอง รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 สร้างให้เกิดการต่อรองและธนกิจการเมืองในสภา ข้อนี้เกี่ยวพันกับข้อแรก การมีรัฐบาลที่อ่อนแอและระบบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ทำให้เกิดปัญหาธนกิจการเมือง (money politics) ในสภา คือการต่อรองผลประโยชน์เพื่อประคองให้รัฐบาลอยู่รอดได้
ซึ่งจะทำให้การคอร์รัปชั่นกลายเป็นปัญหาใหญ่ ดังที่พบในรัฐบาลผสมสมัยยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่มีการซื้อคะแนนโหวตในสภาเป็นตัวเลข 6-7 หลักต่อครั้ง ปัญหาคอร์รัปชั่นจะกระทบต่อภาพลักษณ์ ธรรมาภิบาล และความเชื่อมั่นของนานาชาติ
สาม รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ทำให้เกิดระบบการเมืองที่ไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน เนื่องจากที่มาของนายกฯ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และการให้มีสว.แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้
ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนไม่ถูกสะท้อนออกมาอย่างตรงไปตรงมา กติกาในรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้พรรคที่แพ้การเลือกตั้งก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยอาศัยเสียงของกลุ่มอำนาจในสภาที่ประชาชนไม่ได้เลือกมา สว.ที่ตอนนี้มีสภาพเป็นเสมือนพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาแสดงออกในการทำหน้าที่ตั้งแต่เปิดประชุมสภามา
ว่ามุ่งทำงานตอบสนองผลประโยชน์ของผู้แต่งตั้ง (คสช.) มากกว่าทำงานตอบสนองผลประโยชน์สาธารณะ หรือแทนที่จะมุ่งตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลให้ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน กลับแสดงบทบาทเป็นองค์รักษ์พิทักษ์รัฐบาลอย่างแข็งขัน
ด้วยเหตุนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ที่บางคนบอกว่าให้รอบังคับใช้ไปก่อนสัก 1 ปีแล้วค่อยแก้ไข อาจจะหลงลืมไปว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บังคับใช้มา 2 ปีกว่าแล้ว (ประกาศใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2560)
และได้สร้างผลกระทบเชิงลบหลายประการดังที่ทุกคนเป็นประจักษ์พยานได้ ตั้งแต่ปัญหารัฐบาลผสมที่อ่อนแอ คุณสมบัติของรัฐมนตรีที่ถูกตั้งข้อกังขา การแย่งชิงตำแหน่งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล นโยบายที่ขาดเอกภาพ บทบาทของสว. การแผลงฤทธิ์ของพรรคเล็กจนนำมาสู่เสถียรภาพของ “เรือเหล็ก” ที่สั่นคลอน
สุดท้าย การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระที่ควรทำโดยทันที เนื่องจากสภาวะที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพและมีความไม่แน่นอนสูง จึงอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่เมื่อใดก็ได้ “อุบัติเหตุทางการเมือง” อาจเกิดเร็วกว่าที่คาดคิดกัน การแก้ไขกฎกติกาให้มีความเป็นธรรมเป็นเรื่องที่รอช้าไม่ได้ เมื่อการเลือกตั้งครั้งใหม่มาถึง
ประชาชนสมควรได้รัฐธรรมนูญและกติกาการเลือกตั้งที่ “ดีไซน์มาเพื่อคนไทยทุกคน” มิใช่ดีไซน์มาเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
Tosapol ปากท้องน่ะถ้าแก้ได้มันแก้ไปตั้งแต่ 5 ปีก่อนแล้ว รีบแก้รัฐธรรมนูญให้คนเก่งๆเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องดีกว่า
13 ส.ค. 2562 เวลา 12.15 น.
winai คิดว่าทัเงสองเรื่องมันไปพร้อมกันได้ รัฐก็ทำหน้าที่แก้ปัญหาเศรฐกิจปากท้องของ ปชช ตามที่แถลงต่อสภาไป สภาก็ควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามที่แถลง ส่วนการแก้ รธน ก็เป็นเรื่องของสภาไปไม่เห็นจะเป็นปัญหาเลย ทำไมต้องคิดว่าต้องทำที่ละอย่าง? ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าเราได้ทั้งรัฐบาล และ สภาที่ด้อยประสิทธิภาพสิ
13 ส.ค. 2562 เวลา 12.43 น.
มันจะยากอะไรกันนักหนาก็แก้ไปพร้อมๆกันทุกเรื่องซิ
13 ส.ค. 2562 เวลา 12.44 น.
Somchai Ch. ไม่เชื่อว่าเราจะได้กติกาแบบนี้ออกมาใช้ คนเขียน คนให้เขียนก็เกินไป อย่าบอกว่าผ่านประชามติมานะเพราะวันนั้น คุณคงรู้ว่าประชาชนทำอะไรได้ไม่ได้บ้าง
16 ส.ค. 2562 เวลา 05.05 น.
[NUt] สมองชยะ สลิ่ม คิดไม่ได้หรอก เพราะขนาดเลือกตั้งหนนี้ ทั้งคะแนนขาดเกินๆ ไม่ยอมประกาศตั้งแต่วันที่นับเสร็จรอค้างคา เชื่อจริงๆหรอว่าตอนรับไอ้รัฐธรรมนูณฉบับนี้จะไม่โกง
15 ส.ค. 2562 เวลา 08.00 น.
ดูทั้งหมด