คอลัมน์ สามัญสำนึก
โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์
จากธุรกิจที่เคยเป็นความหวัง แย่งกันทุ่มเงินก้อนโต กับการเป็นเจ้าของทีวีสักช่อง ผ่านมา 4 ปีเต็ม ๆ วันนี้ “ทีวีดิจิทัล” กลายเป็นธุรกิจที่กำลังดิ้นรนอย่างหนัก ประเมินว่าจากทั้งหมด 24 ช่องที่ได้ไลเซนส์สัมปทานไป มีที่เดินหน้าทุ่มเทจริงจังไม่ถึง 1 ใน 3 ส่วนที่เหลือมีทั้งตัดใจทิ้งไลเซนส์ไปแล้ว กลุ่มที่คิดว่าขืนสู้ต่อไปอาจไม่เหลืออะไร ใช้วิธีเอารายการเก่า ๆ มารีรัน ออกอากาศซ้ำ เพื่อไม่ให้ผิดสัญญา กลุ่มที่รอทุนใหม่เข้ามาเซ้งช่อง และเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ คสช.ถึงจะใช้ ม.44 มาปัดเป่า (เสียที)
ประมวลความเคลื่อนไหวช่องต่าง ๆ ช่อง 7 ยังเกาะกุมฐานคนดูต่างจังหวัด ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของประเทศไว้ เนื้อหารายการผลิตขึ้นมาจึงมุ่งตอบสนองคนกลุ่มนี้เป็นหลัก และถึงแม้จะเป็นเบอร์ 1 ของวงการอย่างเหนียวแน่น แต่ที่ผ่านมาช่อง 7 สูญเสียคนดูไปให้ช่องอื่น ๆ ไม่น้อย
กลุ่มมาลีนนท์ ซึ่งมีทีวีในมือ 3 ช่อง ชัดเจนแล้วว่าทุ่มกำลังไปที่ช่อง 33 เป็นหลัก เพราะเอเยนซี่โฆษณายังพร้อมเทงบฯให้ (ข้อแม้คือรายการนั้นต้องดึงคนดูได้จริง ๆ ) และพยายามประคับประคองช่อง 28 ส่วนช่อง 13 แฟมิลี่ ไม่ได้อยู่ในโฟกัสนานแล้ว
ด้าน 4 ช่องใหม่อย่างเวิร์คพอยท์ทีวี, โมโน 29, ช่องวันของแกรมมี่, รวมถึงช่อง 8 ของอาร์เอส ซึ่งเรตติ้งคนดูอยู่ในกลุ่มน่าจะเอาตัวรอดจากธุรกิจนี้ได้ เช่นกัน โดยเฉพาะเวิร์คพอยท์ และช่องวัน มีเสียงตอบรับจากตลาดโฆษณาอยู่ในเกณฑ์น่าสนใจ
เมื่อมองถึงทิศทางที่เกิดขึ้น ทั้งเวิร์คพอยท์และโมโน 29 มุ่งมั่นอยู่กับแนวทางของตัวเอง รายแรกหนักแน่นอยู่กับวาไรตี้โชว์ ส่วนรายหลังมุ่งไปที่หนังดังจากต่างประเทศ แต่สำหรับแกรมมี่ และอาร์เอส ดูเหมือนกำลังปรับโฟกัสใหม่ ในรายของมือเก่าอย่างแกรมมี่ หลังจากขายหุ้นช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25 ให้กับผู้ถือหุ้นใหม่ มีความชัดเจนว่ากำลังหวนกลับไปเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายการในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่แกรมมี่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
วงในแกรมมี่เชื่อว่าด้วยเม็ดเงินโฆษณาในท้องตลาดที่มีอยู่จำกัด แถมยังมีคู่แข่งมาเบียดแย่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้การแข่งขันกันแย่งเม็ดเงินดุเดือด ต่างจากการผลิต “คอนเทนต์” รายการที่ยังมีช่องทางเติบโตได้อีกและมีคู่แข่งที่มือถึงจริง ๆ ไม่มาก เช่นเดียวกับคนในค่ายอาร์เอสยืนยันว่า พักหลัง ๆ “ลูกรัก” ของเฮียฮ้อตอนนี้ไม่ใช่ช่อง 8 แต่เป็น “สารพัดครีม” ที่มียอดขายเติบโต และผลกำไรก็งดงาม
วงการทีวี และถุงเงินใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงอย่างเอเยนซี่โฆษณา มองทะลุว่าทั้ง 6 ช่องข้างต้นน่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างแน่นอน จะมีที่สาหัสกว่าคนอื่น ๆ คือกลุ่มบีอีซีเวิลด์ที่มีถึง 3 ช่องในมือ ทำให้เกิดอาการสำลักต้นทุนอย่างหนัก
ประวิทย์ มาลีนนท์ หัวขบวนบีอีซีเวิลด์ ที่แม้จะขายหุ้นในมือออกไปทั้งหมด แต่คนสนิทในช่องยืนยันว่า ณ วันนี้ “นาย” ของพวกเขายังร่วมหัวจมท้ายต่อไป และยังไม่มีสัญญาณว่าจะล้างมือจากช่อง 3 ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ในขณะที่ประวิทย์เพิ่งให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว…
ถึงตอนนี้มองว่ามีทีวีดิจิทัลอยู่ 12 ช่องน่าจะไปต่อได้ ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 ช่องที่เอาตัวรอดได้แล้ว เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มเดิม ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้มาก่อน ทั้งยังส่งซิกไปถึงช่องที่เรตติ้งต่ำฟลอร์มาอย่างต่อเนื่อง ให้รีบมองหาทางถอยให้กับตัวเอง เป็นคำย้ำเตือนที่คนในวงการล้วนรู้ดี จะทำอะไรก็ทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้
Lue's💫 ก็โลภกันเอง ไม่ไหวก็เจ้งไปสิ เหมือนธุรกิจอื่นๆ ไม่เห็นแปลก
05 พ.ค. 2561 เวลา 22.46 น.
แยะเกิน ไม่เป็นไปตามหลักดีมานด์ซัพพลาย แถมความบันเทิงนูปแบบใหม่ๆก็มีมากขึ้น ทำไมคิดกันไม่ได้
05 พ.ค. 2561 เวลา 23.42 น.
aun ช้วยเพื่อ...ตอนตะกละไม่เห็นจะอยากแบ่งใคร
06 พ.ค. 2561 เวลา 01.48 น.
Khun Pakorn P.K.💯 เยอะช่องเกิน
05 พ.ค. 2561 เวลา 20.41 น.
คณ วิทยาอินธิสุทธิ์ ยุคสมัย อย่าลืมช่องยูทูป เดออออออ55555+
06 พ.ค. 2561 เวลา 00.16 น.
ดูทั้งหมด