ทั่วไป

แชร์กระหึ่ม! ตอนใกล้ตาย มีความรู้สึกอย่างไร อ่านแล้วเหมือนจะหมดลม

Khaosod
อัพเดต 16 ต.ค. 2561 เวลา 12.24 น. • เผยแพร่ 16 ต.ค. 2561 เวลา 12.23 น.

แชร์กระหึ่ม! ตอนใกล้ตาย มีความรู้สึกอย่างไร อ่านแล้วเหมือนจะหมดลม

คุณ ชุติมา อินพุ่ม ได้โพสต์บทความ ที่ แชร์กระหึ่ม กันเป็นหมื่นครั้ง เกี่ยวกับ“ตอน ใกล้ตาย มันมีความรู้สึกอย่างไร” ระบุว่า

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุย กับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

1.ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไรๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับเต็มไปหมด

2.ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชาๆ ตื้อๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

3.ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

4.ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆความรู้สึกสัมผัส หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่า ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death) นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่างๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า“จิตวิการ”ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ ยัง“ยึดติด”กับหลายเรื่อง หรือที่เรียกว่า“ไม่ยอมตายทั้งๆ ที่ต้องตาย”

นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน 4 ประการคือ

1.ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
2.ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
3.มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่านมาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
4.มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น แปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก 4 ประการคือ

1.มีอารมณ์เฉยๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
2.ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
3.รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิตและเกิดปิติปลาบปลื้ม
4.ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละจึงเห็นว่าการ “ฝึกตายก่อนตาย”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น ลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกใจ ไมตื่นเต้น ไม่รันทดและทรมานเพราะ ความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้ง 5” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง

ขอขอบคุณ คุณธนัฐณ์ สกุลธัญวีสิริ

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 156
  • P ^_^
    หลวงพ่อจรัญเคยสอนไว้ว่าการตายเปรียบเสมือนเราออกจากห้องหนึ่งแล้วเข้าสู่อีกห้องหนึ่ง ท่านได้สอนให้หมั่นฝึกสติ สมาธิ ให้ทนกับเวทนาที่จะเกิดขึ้นในขณะที่จะตายเพื่อให้มีสติคิดเรื่องความดีที่ทำไว้เพื่อส่งจิตไปสู่ภพใหม่ที่ดี อนุโมทนากับผู้เผยแพร่เรื่องนี้ด้วยนะคะ
    16 ต.ค. 2561 เวลา 16.36 น.
  • ถ้ายังไม่อยากตาย...ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทดีที่สุดค่ะ...
    16 ต.ค. 2561 เวลา 15.52 น.
  • P. 😎
    สาธุ...สาธุ...สาธุ
    16 ต.ค. 2561 เวลา 15.57 น.
  • wang suntaree王
    คนเราต้องยอมรับความจริงและพร้อมเสมอ
    16 ต.ค. 2561 เวลา 17.16 น.
  • YuePhang
    คนที่ไม่เคยประสบ ไม่เคยเห็นลมหายสุดของสิ่งชีวิตที่จะหมดตามอายุขัย(จริงๆ ไม่ใช่ในหนัง) และเพิ่งพินิจอย่างถี่ถ้วน(จะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกมีกลไกตามธรรมชาติต้องการจะมีชีวิตอยู่แต่ระบบอวัยวะเสื่อมสภาพหมดแล้ว จนแม้แต่จะพยุงลมหายใจเอาไว้ได้(แต่ระบบล่มหมดไม่รับอะไรแล้ว) จะเห็นความดิ้นรนที่จะหายใจเอาอากาศเข้าแต่ทำไม่ได้(สังเกตุว่าประมาณนาทีกว่าๆก็เหยียดนิ่งไป)...อย่าทนงว่า"ไม่กลัวตาย"
    16 ต.ค. 2561 เวลา 16.29 น.
ดูทั้งหมด