ยังไม่ทันจะผ่านครึ่งปีแรกของปี 2563 แบบเต็มๆ 6 เดือนดี แต่ดูเหมือนว่าปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่หนักหนาของกองทัพ โดยเฉพาะ “กองทัพบก” ที่โดนล่อเป้าจนอ่วมอรทัยอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกเดือนเลยก็ว่าได้ อย่างล่าสุดก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีของ “หมู่อาร์ม” หรือ ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี ภายหลังที่เจ้าตัวออกมา “แฉ” ว่าถูกผู้บังคับบัญชาระดับสูงคุกคามและข่มขู่ เนื่องจากออกมาเปิดเผยการทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพาวุธทหารบกจนต้องหนีราชการ
ก่อนจะมีการเซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน “หมู่อาร์ม” ที่เป็นคนร้อง โดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ขณะที่ปมการทุจริตนั้นเตรียมจะชงเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป
ซึ่งสิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมคนที่ออกมาแฉเรื่องการอมเบี้ยเลี้ยงในกองทัพถึงโดนเอาผิดด้วย ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย แทนที่จะมีกระบวนการคุ้มครองพยาน เพราะการตัดสินใจออกมาเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การเอา “สวัสดิภาพหน้าที่การงาน” มาเสี่ยง แต่นับว่าเป็นการ "เสี่ยงชีวิต" เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นการเอาตัวรอดด้วยวิธีการหนีจากผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในค่ายล้นมือนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทำความเข้าใจยากมากนัก หากเทียบกับหลายๆ กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า โดยเฉพาะข่าวทหารชั้นผู้น้อยถูกทำร้ายร่างกาย บางรายที่โชคไม่ดีก็เลยเถิดไปถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งมีมาเป็นระยะ และสังคมเองก็เคยผ่านตาเรื่องเหล่านี้มาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม คำสัญญาเรื่องการ “ปฏิรูปกองทัพ” จากปากของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ภายหลังเหตุสะเทือนขวัญการกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยังคงมีเครื่องหมายคำถามห้อยท้ายต่อไปจากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น
ฉากผู้นำสูงสุดของกองทัพบก "น้ำตาซึม” พร้อมลั่นวาจาว่าจะมีการสังคายนาใหญ่ ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน จากนั้นดูเหมือนว่าจะมีการขยับในหลายๆ ประเด็น ทั้งการสะสางผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ในกองทัพบก เงินนอกงบประมาณของกองทัพ ที่โดนหางเลขไปเต็มๆ คือทีม “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” ที่ต้องพักทีมอย่างไม่มีกำหนด ปิดฉากตำนาน 103 ปี หรือการเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ให้กำลังพลร้องเรียนพร้อมยืนยัน
“ข้อมูลทุกอย่างจะเป็นความลับ”
ซึ่งกรณีของ ส.อ.ณรงค์ชัย นั้นก็มาจากการร้องเรียนกับศูนย์คอลเซ็นเตอร์ แต่กลับกัน แทนที่ข้อมูลจะถูกปกปิดเป็นความลับ เรื่องดันรั่วไปถึงหูผู้บังคัญชา สวนทางกับคำพูดของผู้นำสูงสุดของกองทัพเสียอย่างนั้น ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิรัชต์เองก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้แต่อย่างใด จนกลายเป็นอีกเรื่องที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่สังคม (อีกแล้ว)
“สาเหตุของจ่าจักรพันธ์ที่คลั่งก็เพราะผู้บังคับบัญชาเป็นเช่นนี้ ท่าน ผบ.ทบ. ท่านเคยถามความจริงจากผมหรือไม่ ก่อนที่ท่านจะพูดอะไรออกมา ท่านเพียงรับฟังมาจากรุ่นน้องท่าน หรือเพื่อนท่าน เท่านั้นเอง ผมมันแค่ผู้น้อยครับ ถ้าไม่มีประชาชนให้การสนับสนุน เสียงผมคงไม่ดัง ท่านมีอำนาจระดับพลเอก ท่านยังให้ร้ายผมได้ขนาดนี้ แทนที่ท่านจะช่วยเหลือผม แต่กลับมาทำลายผม นี่แหละการไม่รับฟังความเดือดร้อนของนายทหารชั้นผู้น้อย ความอึดอัดของทหารหลายๆ คน และนี่คือพลังประชาชนครับท่าน #ปฏิรูปกองทัพ #คุ้มครองพยาน #ภาษีประชาชนเพื่อประชาชนไม่ใช่คนของตน”
การโพสต์ข้อความของ ส.อ.ณรงค์ชัย โพสต์นี้แสดงให้เห็นว่า “หมู่อาร์ม” จนตรอกจนต้องเปิดหน้าชนกับอำนาจสูงสุดของกองทัพ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนปกติไม่ทำกันแน่ๆ เว้นเสียแต่ว่าถูกบีบคั้นจนไม่มีทางออก ซึ่งคงต้องมาจับตาดูกันว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และเมื่อเรื่องจบแล้ว สวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของ “หมู่อาร์ม” หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป สังคมต้องร่วมกันจับตาอย่างใกล้ชิด
ยังไม่รวมกับเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสนามมวยลุมพินี ที่ทำเอาวุ่นกันยกใหญ่ แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดแข่งขันชกมวยของสนามมวยลุมพินีนั้น สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท.ได้ทำหนังสือแจ้งขอความร่วมมือมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถึงนายสนามมวยเวทีลุมพินี เพื่อให้ดำเนินการมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2563 ให้หลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมเช่นการจัดการแข่งขันกีฬาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2563 แล้ว
แต่ในวันที่ 6 มี.ค.2563 สนามมวยเวทีลุมพินียังคงมีการจัดการแข่งขันชกมวยรายการใหญ่ที่ ชื่อว่า 'ลุมพินิแชมเปี้ยนเกริกไกร เกียรติเพชร' ซึ่งมีการจัดคู่มวยดังขึ้นชกถึง 11 คู่ และมีการแจกรถ 3 คัน ทำให้มีบรรดาเซียนมวยและประชาชนที่สนใจเข้าไปร่วมชมมวยรายการนี้จำนวนมาก จนกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งเพาะเชื้อในที่สุด และผู้บริหารของสนามมวยเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่ก็เป็นคนในกองทัพนั่นเอง และเรื่องนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้กองทัพถูกเล่นงานจากหลายภาคส่วนในสังคม ซึ่งประเด็นเหล่านี้ยังไม่รวมเคสยิบย่อยต่างๆ ที่มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ
ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่ “กองทัพ” จะกลายเป็น “จุดอ่อน” สำคัญของรัฐ และถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบยกมาเป็นประเด็นเล่นงานอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ปีนี้มีความแตกต่างกันคือ ในเมื่อระดับผู้นำสูงสุดของกองทัพบกลั่นวาจาแล้วว่า “จะมีการปฏิรูปกองทัพ” และดูเหมือนมีการแอคทีฟในหลายๆ ด้าน แต่หลายเรื่องที่สังคมได้รับรู้รับทราบนั้นกลับเข้าอีหรอบ “ยิ่งทำ..ยิ่งเละกว่าเดิม” ซะอย่างนั้น.
ยุบไปเลยโรงเรียนนายร้อย จปร เพราะมีแต่เล่นพักพวกทหารที่มาจากนายสิบถึงจบดอกเตอร์ได้ก็ไม่มีโอกาศได้นายพล แบ่งเกรดจึงทำให้ทุจริตกันทั่วหน้า
04 มิ.ย. 2563 เวลา 09.52 น.
เสี่ยหมู💰💰💰 ไงล่ะครับ รั้วของชาติ พอมีเงินมาเป็นตัวแปร สันดานดิบในตัวตนก็อดไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นรั้วผุๆพังๆ ถุ๊ย!
04 มิ.ย. 2563 เวลา 08.12 น.
Sittichai เป็นกำลังใจครับ ระวังตัวให้ดี พวกนี้มันทำได้ทุกอย่างกฎหมา. เอาผิดมันไม่ได้ด้วย ดีแต่เรื่องนี้ ถึงหูประชาชนคนไทยเกือบทุกคนแล้ว ประชาชนกำลังจับตาดูอยู่ เป็นไงหล่ะ จะเก็บความลับของผู้รายงานเป็นอย่างดี เชื่อได้ไหม ความจริงเรื่องแบบนี้มันมีมานแล้ว ใคร ๆ เขาก็รู้ ทหารเกณฑ์ บ้านอก บ้านนา เขายังรู้เลย จะปฏิรูป รอชาติหน้าก็แล้วกัน ประเทศกูมี
04 มิ.ย. 2563 เวลา 06.05 น.
xxx เข้าใจจ่า
04 มิ.ย. 2563 เวลา 03.22 น.
อำพล ร้องทุกข์ หรือออกมาแฉการโกงกินของผู้บังคับบัญชา คือความผิดของผู้แฉ โทษคือคุก. หมดอนาคต ฉะนั้นถ้าอยากได้ความยุติธรรม. คือรวบรวมหลักฐานส่งให้สื่อ และเผยแพร่ลงในเน็ต เสร็จแล้วทำแบบจ่าคลั่งยิงกะบาลไอ้ตัวที่มันโกง แล้วเอาหลักฐานอีกชุดยัดใส่ปากมันไว้
04 มิ.ย. 2563 เวลา 02.03 น.
ดูทั้งหมด