หมีสีเหลืองและเด็กชายคนสนิทกับเรื่องราวสุดน่ารักของการ์ตูนอมตะที่ดัดแปลงมาจากนิยายอายุกว่า 100 ปี ของ เอ.เอ.ไมลน์ ซึ่งเร็วๆ นี้กำลังจะมีภาพยนตร์ในชื่อ “Christopher Robin” ซึ่งเป็นการต่อยอดเรื่องราวของ คริสโตเฟอร์ โรบิน เด็กชายเพื่อนรักของหมีพูห์ ในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องเดินทางกลับไปในป่าร้อยเอเคอร์อีกครั้ง
แต่ชีวิตที่แท้จริงของ คริสโตเฟอร์ โรบิน เด็กชายที่ชื่อเดียวับตัวละครที่พ่อของเขาได้เป็นผู้เขียนนิยายขึ้นมา กลับไม่ได้สวยงามเหมือนเบื้องหน้าที่เราได้เห็นตัวละครกระโดดโลดเต้นกันทั้งในจอทีวีและในนิยายเท่าไหร่นัก เราจะขอพาไปดูเบื้องหลังหม่นๆ ของ “คริสโตเฟอร์ โรบิน” คนนี้กัน
เอ.เอ.ไมลน์ คือนักเขียนชาวอังกฤษซึ่งเป็นพ่อของ คริสโตเฟอร์ โรบิน ซึ่งเผชิญกับโรค PTSD (อาการเครียดเมื่อพบเจอเหตุการณ์สะเทือนใจ) จากการเข้าร่วมรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ภาพหลอนตอนเข้าร่วมสงครามคอยหลอกหลอนทำร้ายเขาเสมอ
ทั้งพ่อและแม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน หวังจะได้ลูกสาวมาตลอด ก่อนที่เขาจะเกิดยังตั้งชื่อรอเอาไว้ว่า “โรสแมรี่” ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าอยากได้ลูกสาว เมื่อคริสโตเฟอร์โรบิน ลืมตาดูโลกพวกเขาจึงผิดหวังอย่างหนัก ที่ได้ลูกชาย แม้กระทั่งตอนที่เด็กชายโตขึ้น ก็ยังถูกจับแต่งตัวให้เหมือนเด็กผู้หญิง ไว้ผมให้ดูน่ารัก และสวมเครื่องประดับอีกด้วย
หลังจากจมปลักกับอดีตหลังสงครามมามากพอพ่อของคริสโตเฟอร์โรบิน เริ่มเขียนนิยายโดยได้รับแรงบันดาลใจจากลูกชายและตุ๊กตาของเขา โดยมีตัวเด่นคือหมีเท็ดดี้ที่ชื่อว่า เอ็ดวาร์ด ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “วินนี่” ตามชื่อหมีที่ไปพบตอนเที่ยวสวนสัตว์ และ ป่า Ashdown ที่คริสโตเฟอร์โรบินชอบวิ่งเล่นก็กลายมาเป็น ป่าร้อยเอเคอร์นั่นเอง
ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนว่า เอ.เอ.ไมลน์ ดูจะใส่ใจกับลูกและเป็นคุณพ่อแสนดี แต่คริสโตเฟอร์โรบินกลับเคยให้สัมภาษณ์ว่า “คริสโตเฟอร์ โรบินในหนังสือเป็นเพียงลูกชายในฝันที่พ่อของเขาสร้างขึ้นมา และเขาไม่ได้สนใจลูกชายตัวจริงว่าจะเป็นอย่างไร”
วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง วินนี่ เดอะพูห์ ได้รับความนิยมและโด่งดังอย่างรวดเร็ว โดยเล่มแรกขายได้มากกว่า 50,000 เล่ม ในระยะเวลาเพียง 8 อาทิตย์ในขณะที่ คริสโตเฟอร์โรบินมีอายุ เพียงแค่ 4 ขวบ ก็กลายเป็นเด็กที่มีชื่อเสียงและใครๆ ก็รู้จักไปเสียแล้ว และมีแฟนคลับมากมายที่อยากเข้าถึงและเห็นชีวิตจริงๆ ของเด็กผู้เป็นแรงบันดาลใจของวรรณกรรมสุดโด่งดังเรื่องนี้
เอ.เอ.ไมลน์ จึงตัดสินใจพาลูกชายในวัย 7 ขวบ ของเขาไปทัวร์แจกลายเซ็นด้วย รวมถึงต้องโดนถ่ายภาพมากมาย, ทำท่าทางให้เหมือนที่พ่อบรรยายไว้ในหนังสือ , ร้องเพลงต่อหน้าผู้คน ซึ่งในช่วงแรกดูเหมือนคริสโตเฟอร์ โรบิน จะมีความสุขกับการอยู่ต่อหน้าแสงแฟลชและชื่อเสียงเหล่านั้น แต่มันกลับมาทำร้ายตัวเขาในอนาคต
หลังจาก คริสโตเฟอร์โรบินอายุได้ 9 ขวบ เขาเริ่มถูกเพื่อนร่วมชั้นข่มขู่, ล้อเลียน และทุบตีทำร้าย จากทั้งความอิจฉาและอุปนิสัยที่คล้ายเด็กผู้หญิงที่พ่อแและแม่ของเขาปลูกฝังมา ทั้งยังล้อถึง “ตุ๊กตาหมีของนายไปอยู่ที่ไหนล่ะ” ฯลฯ ซึ่งการถูกกลั่นแกล้งยังดำเนินต่อเนื่องไปจนเขาอายุ 13 ปี คริสโตเฟอร์ โรบิน จึงตัดสินใจไปเรียนชกมวยเพื่อเริ่มป้องกันตัวเอง
คริสโตเฟอร์โรบินเติบโตต่อมาภายใต้ความกดดันต่างๆ จากสังคมและเรื่องต่างๆ มากมาย ทุกคนตั้งความหวังให้เค้าเป็นแบบในหนังสือและเป็นคนยิ่งใหญ่ระดับโลก แต่คริสโตเฟอร์โรบินในวัยผู้ใหญ่กลับกลายเป็นแค่คนขายโป๊ะไฟธรรมดาๆ เท่านั้น และหลายครั้งที่เขามักถูกถามไถ่ถึงประวัติต่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ดีและลำบากใจมาตลอด และต้องทำลายความคาดหวังของผู้คนที่หวังให้ชีวิตจริงของเขาเป็นแบบในหนังสือ
คริสโตเฟอร์โรบินเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 และตัดสินใจแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา “เลสลี่ย์ เดอ เซลินคอร์ท” ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะคัดค้านอย่างเต็มที่ ทั้งนี้แม่ของคริสโตเฟอร์และพ่อของเลสลี่ย์ แทบไม่ได้ติดต่อกันมากว่า 30 ปีแล้ว เพราะความบาดหมาง และอยากให้เขาแต่งงานกับ แอนน์ ดาร์ลิงตัน เด็กสาวหน้าตาน่ารักที่พวกเขาอยากได้เป็นลูกสาวมากกว่า ท่ามกลางเสียงคัดค้าน คริสโตเฟอร์ โรบิน และ เลสลี่ย์ ก็ยังยืนกรานจะแต่งงานกันโดยยอมตัดขาดกับญาติพี่น้องทั้งหมด และย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ละเปิดร้านขายหนังสือด้วยกัน
แค่การที่คริสโตเฟอร์ โรบินแต่งงานกับคนที่เขารักที่เป็นลูกพี่ลูกน้องซึ่งมี DNA ที่ใกล้เคียงกันเกินไปก็เกิดปัญหาจนได้ เพราะลูกสาวของทั้งคู่ต้องพบกับโรคสมองพิการ โดยต้องการพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เหตุการณ์นี้เองทำให้คริสโตเฟอร์ โรบิน ต้องยอมติดต่อกับทางครอบครัวเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือเพื่อดูแลลูกสาวของเขา จนกระทั่ง เอ.เอ.ไมลน์ คุณพ่อของเขาเสียชีวิตลง เขาก็ไม่ได้ติดต่อคุณแม่ของเขาอีก เพราะความสัมพันธ์ที่พังเกินจะเยียวยาได้ของทั้งคู่ จนกระทั่งวาระสุดท้ายของคุณแม่ของเขา เธอก็ยังยืนกรานว่าไม่อยากเห็นหน้าลูกชายอีก หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตลง ทางวอล์ทดิสนีย์ ได้ซื้อลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ วินนี่เดอะพูห์ โดยทำสัญญา 40 ปี
คริสโตเฟอร์ โรบินในช่วงวัย 60 ปี กล่าวไว้ว่า เขาสามารถเปิดหนังสือ วินนี่เดอะพูห์ได้โดยไม่รู้สึกแย่กับมันแล้ว และเริ่มปรากฎตัวกับสื่ออีกครั้ง เขาได้บริจาคตุ๊กตาสัตว์ต้นแบบของเรื่องวินนี่เดอะพูห์ แก่ห้องสมุดนิวยอร์ค ซึ่งยังมีจัดแสดงอยู่ในปัจจุบัน
เขาเสียชีวิตลงในปี 1996
ขอบคุณที่มาจาก : WikiPedia, CountryLiving, Anitasnotebook, Teen Mthai, The Matter, Dek-D, HistoryvsHollywood และ Toptenz