แมลงวันในไร่ส้ม
ฮือฮากฎเหล็ก 14 ข้อ
จัดระเบียบ ‘สื่อ-ช่างภาพ’
ห้ามล้ำเส้น ‘นายกฯ ตู่’
เรื่องของสื่อกับนายกรัฐมนตรี รอบนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษ เพราะอยู่ๆ มีมือดีออกมาตรการพิเศษให้สื่อที่ติดตามนายกฯ ปฏิบัติ จนกลายเป็นข่าวครึกโครม
เหตุเกิดเมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ไปเปิดงาน Thailand Social Expo 2018 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
ในวันนั้นเอง ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 งัด “กฎเหล็ก” จัดระเบียบสื่อมวลชนทุกหน่วย ทุกสังกัด ไม่เว้นแม้กระทั่งช่างภาพของหน่วยงานรัฐประจำกรม กอง กระทรวงต่างๆ
บรรยากาศการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ก่อนที่นายกฯ จะเดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ตรวจบุคคลที่จะเข้าร่วมงานอย่างละเอียด
ทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องสแกน ลงทะเบียนติดบัตรและติดสติ๊กเกอร์แสดงว่าผ่านการตรวจ
ส่งผลให้ทางเข้าห้องจัดงานที่ต้องผ่านเครื่องสแกนแออัด คิวของสื่อยาวเหยียดกว่าจะผ่านเข้างานได้
และเป็นครั้งแรกที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 จัดทำใบลงทะเบียนสำหรับช่างภาพสื่อมวลชน โดยต้องลงชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก สถานที่อยู่ ที่ทำงาน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ด้วย
ในเอกสาร ยังระบุมารยาทในการถ่ายภาพของช่างภาพสื่อมวลชน คือ
- ต้องอยู่ในลักษณะเคารพต่อนายกรัฐมนตรีและแสดงความเคารพทั้งก่อนและหลังถ่ายภาพ
- การแต่งกายที่สุภาพ บุรุษชุดสูทสากล สุภาพสตรีชุดกระโปรง รองเท้าหุ้มส้น
- กล้องที่จะนำมาบันทึกภาพต้องผ่านการตรวจและติดแท็กที่ได้รับอนุญาตจากตำรวจสันติบาล
- จะอนุญาตให้เฉพาะช่างภาพที่ลงทะเบียนและติดต่อแผนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
- ไม่แสดงกิริยาวาจาหรือมารยาทอันไม่สมควร
- ในการถ่ายภาพควรอยู่ห่างจากนายกรัฐมนตรี 5 เมตรเป็นอย่างน้อย
- ไม่ควรเบียดเสียดกันถ่ายภาพหรือถ่ายภาพลักษณะยืนค้ำศีรษะผู้อื่น หรือยื่นกล้องถ่ายภาพในลักษณะถ่ายภาพข้ามท่าน
ตามมาด้วย ข้อควรปฏิบัติในการบันทึกภาพ คือ - ต้องไม่ถ่ายภาพตรงหน้า ขณะที่นายกรัฐมนตรีอยู่ในห้องรับรอง
- ห้ามถ่ายภาพขณะเดินขึ้นหรือลงจากที่สูง เช่น บันได
- ห้ามถ่ายภาพขณะรับประทานอาหาร
- ห้ามออกนอกสถานที่ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ ห้ามวิ่งตัดหน้า วิ่งลุกลนหรือห้อมล้อมกีดขวางทางเดิน
- ให้บันทึกได้ในจุดหรือสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม
- การใช้ไฟฉายใช้ได้ในทุกโอกาส แต่การถ่ายไฟไม่ควรเกิน 1,500 วัตต์ และควรอยู่ห่างจากห้องรับรอง
- หากฝ่าฝืนมารยาทข้อควรปฏิบัติหรือไม่เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ จะถูกริบปลอกแขนและห้ามบันทึกภาพ
สื่อต่างๆ รายงานมาตรการดังกล่าวออกไปเป็นข่าวอย่างคึกคัก ขณะเดียวกันมีการสอบถามว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบสั่งการให้ใช้มาตรการดังกล่าว
กระแสข่าวระบุว่า แม้แต่นายกฯ เมื่อทราบข่าว ก็แสดงความสงสัยว่า ใครสั่งการ และสั่งให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าว
เวลา 16.30 น. วันเดียวกัน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านกลุ่มไลน์ “สื่อทำเนียบรัฐบาลแจ้งวาระ” ว่า ข้อควรปฏิบัติบันทึกภาพนายกฯ เป็นเอกสารปี 2558 ไม่เข้าใจว่าทำไมถูกนำมาเผยแพร่ตอนนี้
เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงมีความปรารถนาดี ต้องการให้การปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้นำประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตั้งใจจะยกระดับการทำงานของทั้งเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนให้มีความเป็นสากล และมีมาตรฐานเช่นเดียวกับนานาประเทศ
โฆษกไก่อูระบุในไลน์อีกว่า หากพิจารณาความเป็นจริงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บังคับใช้ข้อปฏิบัตินี้โดยเคร่งครัดแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น โค้งคำนับก่อนและหลังการถ่ายภาพ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของช่างภาพ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลไปพิจารณาทบทวนและถอนออกจากข้อปฏิบัติ เพราะคนจะเคารพหรือให้เกียรติกันนั้นขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติของแต่ละบุคคล
การระบุว่าเป็นมาตรการตั้งแต่ปี 2558 ทำให้กลุ่มผู้สื่อข่าว-ช่างภาพทำเนียบรัฐบาล เข้าไปโต้แย้งในไลน์ว่า เอกสารข้อปฏิบัติที่นำมาวางไว้ที่จุดลงทะเบียนเมื่อเช้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ขอให้ช่างภาพเซ็นชื่อพร้อมไอดีบัตรประชาชน 13 หลัก
ทุกคนเห็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เอกสารเก่า เจ้าหน้าที่สันติบาลที่ตรวจกล้องอยู่ก็เห็นชัดเจน สื่อมวลชนไม่ได้นำเอกสารเก่ามาเขียนข่าวใหม่ อีกทั้งเอกสารข้อปฏิบัติดังกล่าวยังมีหลายแผ่นด้วย
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวหลายคนที่ประจำทำเนียบ ยืนยันว่าเมื่อปี 2558 ก็ไม่เคยเห็นเอกสารฉบับนี้
ขณะที่ทางตำรวจสันติบาลเอง พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รอง ผบช.ส. กล่าวว่า ปกติแล้วอำนาจหน้าที่ในการดูแลปฏิบัติร่วมกับสื่อมวลชนในภารกิจของนายกรัฐมนตรี เป็นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของ บก.ส.3 ไม่ใช่ บก.ส.1
การปรากฏเอกสารที่อ้างว่าเป็นข้อบังคับข้อปฏิบัติจาก บก.ส.1 ก็เป็นเรื่องไม่ปกติ ตนยังไม่เห็นเอกสารตัวจริง จึงยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง จริงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานชี้แจงขึ้นมา แล้วจะชี้แจงอีกครั้ง
ส่วน พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ ผบก.ส.1 กล่าวว่า ทาง บก.ส.1 ไม่เคยออกคำสั่งดังกล่าว อีกทั้งงานด้านนี้ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยตน ไม่ทราบว่ามีคำสั่งดังกล่าวออกมาได้อย่างไร เบื้องต้นได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว
ใครจะเป็น “เจ้าภาพ” ของคำสั่งนี้ ความจริงคงจะค่อยๆ คลี่คลายออกมา เพราะคงมีไม่กี่คนที่จะสั่งให้ตำรวจสันติบาลใช้ความเข้มงวดดังกล่าว
ที่แน่ๆ ก็คือ คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับนายกรัฐมนตรีเอง
โดยเฉพาะการกำหนดให้ช่างภาพคำนับก่อนถ่ายภาพและหลังการถ่ายภาพ ต้องถือว่าเป็นพิธีรีตองมากไปสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งปกติจะมาจาก ส.ส. มักเปิดให้สื่อเข้าถึงได้ง่าย แม้จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดก็ตาม
หรือกำหนดระยะห่าง 5 เมตร จากเดิมซึ่งสามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านั้น แล้วแต่สถานการณ์ เพื่อสอบถามข่าวสารในเรื่องต่างๆ
ที่สำคัญ เมื่อกลายเป็นข่าว กลับออกมาระบุว่าเป็นมาตรการเก่า ไม่มีใครยืนยันเป็นผู้รับผิดชอบในการใช้มาตรการดังกล่าว
เป็นไปได้ว่า ผู้สั่งการมีเจตนาดีต่อนายกฯ แต่เมื่อกลายเป็นข่าวเชิงลบ จึงชิ่งหลบไป
ส่วนมาตรการ 14 ข้อดังกล่าว จะใช้ได้จริงกี่ข้อ และยาวนานเท่าไหร่ น่าติดตามข่าวสารกันต่อไป
กระรอก499 สื่อทุกสำนักเลิกทำข่าวนายกเถอะ
19 ส.ค. 2561 เวลา 11.52 น.
เก่ง..มาจากไหนก็แพ้. น่าจะเปน แมลงวันตอมขี้มากกว่า
19 ส.ค. 2561 เวลา 11.26 น.
สวัสดิ์ ใกล้ไปห่างซัก200เมตรกำลังดี!
19 ส.ค. 2561 เวลา 12.01 น.
Teerapat Pipattanab ถ้ามรึงมาอีกรอบ ส่งสัยระยะห่างเป็น 100 เมตร ถ้ารับไม่ได้ มรึงจะเป้นทำไมวะ เศรษฐกิจก็แย่ มาดูตรงนี้ก่อนดีไหม มรึง
19 ส.ค. 2561 เวลา 12.16 น.
Teerapat Pipattanab เลิกทำข่าวพวกนี้เถอะ โค ต ระ เผด็จเลยมรึง
19 ส.ค. 2561 เวลา 12.12 น.
ดูทั้งหมด