'นิกร' ชี้ โอกาสสุดท้ายแก้รัฐธรรมนูญ พรรคร่วมต้องยกร่างแก้ไขเพียงร่างเดียว เดินหน้าแก้ ม.256 เชื่อสภาฯ แค่ตั้ง ส.ส.ร.ก็ถือว่าได้ทำเต็มที่ ดีที่สุดแล้ว
วันนี้ (10 ธ.ค. 67) นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในนามพรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่าวันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ โอกาสที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนั้นยังมีอยู่ แต่ไม่สามารถจะเสนอทันภายในสภาฯ สมัยนี้แน่นอน ส่วนตัวคาดว่าจะได้เพียงแค่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แม้แต่ ส.ส.ร.เองก็ยังติดปัญหาอยู่เช่นกัน เพราะโอกาสที่จะทำประชามติสองครั้ง ตนเองไม่เชื่อว่าจะทำได้ ซึ่งต้องทำตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคือ 3 ครั้ง เนื่องจากหากทำประชามติแค่ 2 ครั้ง สมาชิกรัฐสภาอาจจะอึดอัดกับการโหวต เพราะอาจจะไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อผูกมัดอยู่
ส่วนวันเวลาที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าการจัดทำประชามติต้องยืดออกไปอีก 180 วัน และบวกอีก 100 วัน สำหรับการทำประชามติตามกฎหมาย ซึ่งการจัดทำประชามติก็จะเกิดขึ้นปลายเดือน ธ.ค.68 ถึงต้นเดือน ม.ค.69 โอกาสสุดท้ายที่จะทำ ส.ส.ร.คือยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในเดือนมกราคม เพื่อจะพิจารณาให้แล้วเสร็จในเดือน มี.ค.70 ถือว่าเป็นโอกาสครั้งเดียวที่จะต้องผ่าน เพราะหลังจากเดือนมีนาคม หากกฎหมายผ่านก็จะไปทำการเลือก ส.ส.ร.ขึ้นมา ซึ่งจะต้องใข้เวลาไปอีก 80-90 วัน ก่อนมานำเข้าที่ประชุมสภาอีกครั้ง ซึ่งสภาจะปิดในวันที่ 10 เม.ย.70 จึงเป็นโอกาสสุดท้าย คือยังทันที่จะกลับมาพิจารณาในสภาที่มีอยู่
หากครั้งแรกไม่ผ่าน และดำเนินการในต้นปี 70 ไม่ทัน เนื่องจากติดปัญหาวุฒิสภาไม่เห็นด้วยก็จะไปเข้าสู่สมัยที่สอง ซึ่งเป็นสมัยสุดท้าย และจะไม่ทันตั้ง ส.ส.ร. อย่างมากก็จะได้แค่การยื่นญัตติ ดังนั้นผมเห็นว่า เมื่อมีโอกาสเดียว พรรคร่วมรัฐบาลควรจะมีร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เสียเอง เพราะจะได้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และมีทางเดียวที่จะผ่าน แต่หากต่างพรรค ต่างยื่น ตนเองไม่เชื่อว่าจะผ่านได้
สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังค้างอยู่ในรัฐสภาของพรรคประชาชน ตนมีความกังวล ว่ามาตรา 256 ที่ค้างอยู่ในสภาฯขณะนี้ ที่นำเสนอสภาฯไปแล้ว ไม่มี ส.ส.ร.โดยเฉพาะมาตรา 256 (8) ที่มีประเด็นว่าจากจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติอยู่ในนั้นด้วย แต่มาตราดังกล่าว เอาหมวดที่เกี่ยวพระมหากษัตริย์และรัฐออกไป คือไม่ต้องทำประชามติ จุดนี้จะมีปัญหา ซึ่งตนเชื่อว่าวุฒิสภาจะไม่เห็นด้วย แต่ร่างนี้อาจจะเข้าสู่การพิจารณาได้ ทั้งนี้หากจะมีการยกร่างใหม่ มาตรา 256 ที่มี ส.ส.ร.ไม่เชื่อว่าจะเข้าสภาฯ ตอนนี้ได้ ต้องรอให้การทำประชามติเสร็จเสียก่อน จึงขอบอกว่าเป็นโอกาสสุดท้าย ในการที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งให้ทันสภาชุดนี้ มี ส.ส.ร. ก็ยังดี แต่โอกาสน้อยมาก ต้องพยายามอย่างยิ่ง และต้องคุยกับทางวุฒิสภา เมื่อไม่คุยก็ไปไม่ได้
ส่วนจะมีการหารือกับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ตนเองได้เสนอเรื่องนี้ในวันรัฐธรรมนูญ และขอชี้ว่ามีโอกาสเดียวแล้วที่จะทำได้ตามนโยบายของรัฐบาล นั่นคือว่ารวมตัวกัน เหมือนการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบ ซึ่งตอนนั้นใช้ร่างของพรรคร่วมรัฐบาลจึงทำได้ ดังนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนกันจำเป็นต้องใช้ร่างของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้ทุกพรรคที่ไปประกาศนโยบายเรื่องนี้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ต้องมาร่วมกันทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ และจะเป็นผลงานสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ คือให้มี ส.ส.ร.และบอกประชาชนให้ชัดว่าเราทำทั้งฉบับไม่ทัน แต่การมี ส.ส.ร.ก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว และดีที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่าต้องการฝากบอกพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลอย่างไรที่ยังเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามพรรคต่อสภาอยู่ นายนิกร กล่าวว่า ตนเองอยู่กับเรื่องนี้มานาน และพยายามจะแก้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ถูกยุบ จึงมีความตั้งใจ และขอบอกในฐานะคนที่อยากให้มีรัฐธรรมนูญจริง ๆ จึงอยากฝากบอกผ่านสื่อมวลชนว่าพรรคการเมืองต้องมาร่วมกัน เพราะรัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน และของวุฒิสภาด้วย ดังนั้นจะต้องมีการพูดคุยกับวุฒิสภาด้วย จะคิดแต่ในส่วนของพวกเราไม่ได้เพราะยัง ต้องอาศัยเสียงของวุฒิสภา 1 ใน 3 ซึ่งหากไม่คุยกัน ไม่มีร่างของรัฐบาล ตนเชื่อว่ายากมาก เพราะจะมีประเด็นที่แตกออกไปอีกมาก
ส่วนจะมีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการเพื่อให้สำเร็จหรือไม่ ก็ต้องห็นว่ามีร่างของรัฐบาลก่อน ต่อจากนั้นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องไปคุยกัน และต้องหาหรือว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เอาแต่ฝ่าย สส.แต่ก็ต้องคุยกับวุฒิสภาด้วยว่ารับได้แค่ไหนด้วย รัฐธรรมนูญเป็นของทุกฝ่าย ทุกคน ไม่ใช่ เป็นของพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งทุกคนก็กังวลกับรัฐธรรมนูญนี้ หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามของรัฐบาลยังทัน โดยร่างจะต้องจัดทำเสร็จก่อนการจัดทำประชามติ ซึ่งจะไปตรงกับไทม์ไลน์ที่ระบุว่า ทำประชามติในต้นปี 69 ก็ยกร่างตอนนั้น แต่ส่วนตัวเห็นว่าให้เสนอร่างตอนนี้เลย เพื่อให้ประชาชนได้เห็น และได้ไปลงคะแนน เพราะคะแนนการทำประชามติแม้ว่าจะเอาตามมติของ สส.แต่หากได้มาน้อยก็จะเป็นข้ออ้างด้วยเหมือนกัน เพราะหลักการเสียงของวุฒิสภาจะออกมาเกินกึ่งหนึ่ง หากได้เพียงร้อยละ 20 ทุกคนจะว่าอย่างไร ประกอบกับผลสำรวจนิด้าโพล ที่ประชาชนเห็นว่าเสียงประชามติ ต้องได้เกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ ตรงนี้จะเป็นหลังพิง ซึ่งจะทำให้ยากขึ้นไปอีก