In focus
- การแจกเงินเป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์ฝั่งอุปสงค์ที่กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยมีตัวขี้วัดสำคัญคือตัวคูณทางการคลัง กล่าวคือการใช้จ่ายของภาครัฐ 1 บาทจะสามารถนำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมทั้งหมดกี่บาท อย่างไรก็ดีตัวคูณทางการคลังในหลายประเทศมักมีค่าน้อยกว่าหนึ่งหรือกระทั่งติดลบในบางประเทศ ส่วนในประเทศไทย เงินโอนรายจ่ายประจำเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือนมีตัวคูณทางการคลังอยู่ที่ราว 0.10 – 0.38 เท่านั้น
- นโยบาย ‘ชิม ช้อป ใช้’ แจกเงินใส่กระเป๋าโดยไร้เงื่อนไขและไม่ระบุกลุ่มเป้าหมายย่อมเบียดบังการใช้จ่ายของนโยบายอื่นๆ เช่น ราคาสินค้าเกษตร หรือการบรรเทาภัยแล้งและอุทกภัย เงื่อนไขของฝั่งผู้ประกอบการยังดูเอื้อให้กับร้านค้าขนาดกลางและตัดโอกาสของรายย่อย ในขณะที่ตัวเลขภาคการท่องเที่ยวของไทยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดูจะเติบโตอยู่บ้างเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว จึงชวนสงสัยว่านโยบายดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดหรือไม่
เมื่อได้อ่านรายละเอียดมาตรการใหม่ ‘ชิม ช้อป ใช้’ ของรัฐบาลคณะปัจจุบันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอามือปาดเหงื่อ ผู้เขียนขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ได้มีปัญหากับการโอนเงินช่วยเหลือคนจน (อ่านได้ใน แจกเงินคนจน เป็นนโยบายที่ดีจริงๆ หรือ?) เพราะเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์จากหลายแห่งทั่วโลกแล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการแจกจ่ายของ
อย่างไรก็ดี การโอนเงินใส่มือคนทั่วไปโดยแทบจะไร้กลุ่มเป้าหมายแบบทุกคนในสังคมเสมอหน้ากันมันเป็นคนละเรื่อง เนื่องจากเป้าหมายหลักของนโยบายลักษณะนี้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจล้วนๆ โดยไม่สนใจในประเด็นการกระจายรายได้แต่อย่างใด นโยบายนี้คงกล่าวได้เต็มปากว่าเป็น ‘ประชานิยม’ เต็มขั้น
เศรษฐศาสตร์ฝั่งอุปสงค์ที่มาผิดเวลา
บางคนอาจออกมาเถียงว่านี่คือแนวคิดเศรษฐศาสตร์ฝั่งอุปสงค์ (Demand-side economics) ชูธงโดยเจ้าสำนักอย่างจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ผู้เสนอเศรษฐศาสตร์มหภาคทฤษฎีใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อบรรเทาปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (the Great Depression) โดยให้รัฐบาลเป็นเครื่องจักรหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับนโยบายการคลังให้ขาดดุล เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสร้างผลิตภาพ รวมถึงกระตุ้นภาคเอกชนโดยการลดภาษี ส่วนเงินที่ใช้ดำเนินนโยบายนั้นก็ค่อยมาเก็บออมทีหลังในช่วงเศรษฐกิจดี
แกนกลางหนึ่งของสำนักเคนส์คือแนวคิดตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ที่เสนอว่าเมื่อภาครัฐใช้จ่ายเงิน 100 บาทจะสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่ามากกว่า 100 บาทซึ่งสะท้อนผ่านตัวคูณ เช่น หากตัวคูณของนโยบายทางการคลังเท่ากับ 5 เท่า นั่นหมายความว่ารัฐบาลใช้จ่าย 100 บาทจะสามารถสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวม 500 บาทนั่นเอง
แนวคิดดังกล่าวถูกหักล้างโดยนักคิดนีโอคลาสสิก เช่น มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) ที่มองว่าสำนักเคนส์ประเมินค่าตัวคูณสูงเกินไป งานวิจัยในปัจจุบันก็สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวโดยพบว่าตัวคูณทางการคลังในหลายประเทศมักมีค่าน้อยกว่าหนึ่ง หรือกระทั่งติดลบในบางประเทศ
ส่วนในประเทศไทย คณะวิจัยจากธนาคารแห่งประเทศไทยก็พบว่าเงินโอนรายจ่ายประจำ (Current Transfer) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือนมีตัวคูณที่น้อยมากๆ คือ 0.10 – 0.38 เท่านั้นนั่นหมายความว่าหากรัฐบาลใช้งบประมาณแจกเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้สูงสุดได้เฉลี่ยราว 380 บาท แต่การตีความงานวิจัยในลักษณะดังกล่าวอาจประเมินตัวคูณของนโยบายแจกเงินต่ำเกินไปสักหน่อย เพราะตัวเลขดังกล่าวคำนวณมาจากค่าเฉลี่ยที่รวมเอานโยบายอย่างกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือประกันสังคมเข้าไปด้วย ซึ่งหากถอดปัจจัยดังกล่าวออกไป ตัวคูณก็น่าจะกระเตื้องขึ้นอีกพอสมควร แต่ก็น่าจะยังน้อยกว่า 1 อยู่ดี
ตัวคูณทางการคลังของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ภาพจากthaipublica.org
หัวใจสำคัญที่จะทำให้นโยบายเศรษฐศาสตร์ฝั่งอุปสงค์ประสบผล คือการที่ประชาชนซึ่งได้รับการอัดฉีดใช้เงินอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่เก็บออม เมื่อเงินเปลี่ยนมือบ่อยมากขึ้นเท่าไร มูลค่ารวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในมุมมองของผู้เขียน แม้ปัจจุบันจะมีสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักจากการชะลอการเติบโตของไทยบ้าง และสารพัดปัจจัยความไม่แน่นอนภายนอก แต่การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งอุปสงค์ที่ทิ้งหมัดหนักโดยแจกเงินแบบไร้เงื่อนไขแบบนี้ อาจเป็นตัวยาที่แรงเกินควรสำหรับสัญญาณเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันซึ่งยังพอรับมือได้โดยใช้นโยบายทางการเงินการใช้จ่ายเงินในลักษณะนี้ยังดูนอกลู่นอกทางจากแนวคิดสำนักเคนส์ที่ใช้แรงผลักของรัฐบาลโดยเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่สำคัญ นโยบายยัดเงินใส่มือในลักษณะนี้ดูจะตรงข้ามกับสโลแกนเก๋ๆ ของรัฐบาลที่ว่ามั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนอย่างเต็มประตู
การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งอุปสงค์ที่ทิ้งหมัดหนักโดยแจกเงินแบบไร้เงื่อนไขแบบนี้ อาจเป็นตัวยาที่แรงเกินควรสำหรับสัญญาณเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันซึ่งยังพอรับมือได้โดยใช้นโยบายทางการเงิน
ไม่มั่นคง บางคนมั่งคั่ง และปราศจากความยั่งยืน
นโยบาย ‘ชิม ช้อป ใช้’ แจกเงินใส่กระเป๋าโดยไร้เงื่อนไขเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณปกติ นั่นหมายความว่าเม็ดเงินที่นำมาทุ่มครั้งนี้ ย่อมเบียดบังจากนโยบายอื่นๆ เช่น ราคาสินค้าเกษตร การช่วยเหลือภัยแล้งและน้ำท่วม รวมถึงการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นกลุ่มนโยบายที่มีการระบุกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์ (targeting) ที่ดีกว่า รวมทั้งยังตอบโจทย์การกระจายรายได้อีกด้วย
ส่วนประเด็นที่ว่าการท่องเที่ยวในประเทศไทยชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ผู้เขียนก็ยังงงๆ ว่าเอาข้อมูลดังกล่าวมาจากไหน เพราะรายงานธนาคารแห่งประเทศไทยก็ระบุว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจากจีนและอินเดียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5ในขณะเดียวกัน สถิติจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็ระบุว่าเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจากทั้งไทยและต่างประเทศราวร้อยละ 3จึงชวนสงสัยว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องผันเม็ดเงินไปลงกับภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ในขณะที่ยังมีความเดือดร้อนอื่นๆ ที่ดูจะ ‘ด่วน’ กว่าเรื่องนี้
คำถามต่อไปคือเม็ดเงินดังกล่าวจะไปเข้ากระเป๋าใคร หากพลิกดูเงื่อนไข ผู้ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ย่อมเป็นผู้ประกอบการขนาดกลาง เนื่องจากเงื่อนไขในการเข้าร่วมจำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตของภาครัฐ เช่น ทะเบียนการค้า หรือทะเบียนพาณิชย์ แม้ว่าจะยืดหยุ่นให้หน่วยงานราชการเซ็นรับรองในใบสมัครได้ แต่การได้รับการรับรองย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ
เงื่อนไขดังกล่าวย่อมกีดกันผู้ประกอบการรายย่อย หรือผู้ประกอบการอิสระ ซึ่งจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวมากที่สุด และมีแนวโน้มจะนำเงินรายได้ไปใช้จ่ายมากที่สุด ในทางกลับกัน การเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการขนาดกลางอาจไม่ได้ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการดังกล่าวมีแนวโน้มสูงที่จะเก็บออม ชะลอการลงทุนและการบริโภคเพื่อดูทีท่าของเศรษฐกิจว่าจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหรือไม่
นโยบายประชานิยมในลักษณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าขาดความยั่งยืน เพราะทุ่มงบประมาณมหาศาลลงไปแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเก็บภาษีเข้าคลังได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ในทางกลับกัน หากรัฐบาลนำเงินไปลงทุนกับโครงการขนาดใหญ่ ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอนาคต
ต่างจากนโยบายแจกเงินแบบนี้ ที่กล่าวได้ว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถึงแม้จะมีรายได้เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นแค่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว คงมีผู้ประกอบการน้อยรายที่เห็นยอดขายก้าวกระโดดจากนโยบายนี้ แล้วลงทุนก่อสร้างห้องพักเพิ่มเติม หรือซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
คำถามถึงปลายทางของนโยบาย
แม้จะมีคำตอบเรื่องเป้าหมายของนโยบายชัดๆ อยู่แล้วว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้เขียนก็ยังสงสัยว่ารัฐบาลมีแผนจะวัดผลการดำเนินงานอย่างไรเพราะระบบเศรษฐกิจก็เหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีกลไกซับซ้อนยุ่บยั่บ เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะวัดว่าการดำเนินนโยบายประสบความสำเร็จเพียงใด
การวัดผลที่ปลายทางว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นเท่าไรจึงไม่เพียงพอ เพราะการแยกผลกระทบจากนโยบายใดนโยบายหนึ่งจำเป็นต้องออกแบบการศึกษาอย่างเคร่งครัด เช่น การศึกษาโดยใช้การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial) ซึ่งควรดำเนินการก่อนที่จะทุ่มงบประมาณหลายหมื่นล้านลงสู่ระบบเศรษฐกิจ
แต่ผู้เขียนเดาได้ว่า สุดท้ายตัวชี้วัดที่ได้ออกมาก็แนวๆ ปัจจัยนำเข้า (input) เช่น ผู้สมัครมีจำนวนกี่คน ร้านค้ามีจำนวนกี่ราย มีการใช้จ่ายในแต่ละจังหวัดจำนวนเท่าไหร่ มีเม็ดเงินไหลเวียนจากนโยบายจำนวนเท่าไร ฯลฯ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ตอบอะไรเลยว่านโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้เปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมีนโยบายกับไม่มีนโยบาย
ตัวอย่างเช่น ครอบครัวหมีใหญ่ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไปเที่ยวภูกระดึง จ.เลย 4 คน โดยเก็บออมเงินไว้แล้ว 8,000 บาท พอทราบข่าวว่ามีนโยบาย ‘ชิม ช้อป ใช้’ ครอบครัวหมีใหญ่ทั้ง 4 คนก็แย่งชิงสมัครได้วงเงิน 4,000 บาท ทั้งครอบครัวไปเที่ยวภูกระดึงตามแผนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากที่ตั้งใจไว้เป็น 9,500 บาท จากกรณีตัวอย่างนี้ ผลกระทบจากนโยบายจะเพิ่มการใช้จ่ายจาก 8,000 บาท เป็น 9,500 บาท กล่าวคือรัฐบาลทุ่มเงิน 4,000 บาทไปให้ครอบครัวหมีใหญ่ แต่เพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เพียง 1,500 บาทเท่านั้น
บางคนอาจบอกว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้สังคมไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (cashless society) เนื่องจากนโยบายดังกล่าวจะบีบบังคับให้ทั้งผู้บริโภคและเจ้าของร้านค้าใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าขันขื่น เพราะรัฐบาลทำราวกับมองไม่เห็นว่าภาคเอกชนทั้งล้วงทั้งควักเนื้อตัวเองเพื่อให้ผู้บริโภคใช้กระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ แม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ยังลงมาเป็นผู้เล่นโดยสนับสนุนระบบพร้อมเพย์และการจ่ายเงินโดย QR Code การที่รัฐบาลเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดโดยใช้แอปพลิเคชันของตัวเองนั้นดูจะแปร่งๆ และเป็นการใช้งบประมาณอย่างเปล่าเปลืองเสียมากกว่า
ผู้เขียนมองว่าการโอนเงินให้ประชาชนใช้จ่ายไม่ใช่เรื่องผิด แต่ควรโอนไปยังกลุ่มเป้าหมายและปลายทางที่ชัดเจน เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งผู้เขียนมองว่าหากมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในแง่วัตถุประสงค์ก็สามารถตอบโจทย์ทางสังคมได้หลายประการ แต่สำหรับนโยบายอย่าง ‘ชิม ช้อป ใช้’ เรากลับมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองทางนโยบายที่ยังดูไม่ออกว่าจะบรรลุผลตามที่รัฐบาลคาดหวังหรือไม่
แต่ไม่ว่านโยบายดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ก็ตาม การแจกเงินแบบนี้ย่อมได้ใจประชาชนไปเต็มๆ
เอกสารประกอบการเขียน
เครื่องชี้แรงกระตุ้น และตัวคูณทางการคลังของไทย
GROWTH-GOVERNMENT SPENDING NEXUS: THE EVIDENCE OF THAILAND
Keynesian economics: is it time for the theory to rise from the dead?
ร้านค้าเช็กเลย ! วิธีสมัครร่วมมาตรการชิมช้อปใช้ แจกเงินเที่ยว ต้องลงทะเบียนอย่างไร
แจกเงินให้เที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ตามประสงค์รัฐบาลประยุทธ์ 2/1 หรือไม่
Fact Box
- การแจกจ่ายเงินแบบไร้เงื่อนไขมีอยู่ในหลายประเทศ เช่น การจ่ายรายได้ขั้นต่ำให้กับทุกคน (Universal Basic Income) ซึ่งเป็นนโยบายที่หลายประเทศกำลังพิจารณาเพื่อนำไปใช้จริงเพื่อบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำและการมาทดแทนแรงงานมนุษย์ด้วยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ หรือการจ่ายเงินให้กับประชาชนที่อายุเกิน 18 ปีทุกคนบนเกาะฮ่องกงเนื่องจากฮ่องกงมีงบประมาณเกินดุลอยู่มากจึงนำมาแจกจ่ายให้กับประชากรอย่างเท่าเทียมกัน หากฮ่องกงเป็นบริษัท การแจกจ่ายเงินดังกล่าวก็คล้ายกับการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น (ซึ่งก็คือประชาชน) ในปีที่ผลประกอบการดีนั่นเอง
dr.Tawatchai ปั้นตัวเลขการใช้จ่ายปลอมๆว่าเศรษฐกิจดีแหล่ะ .... แต่กำลังซื้อและความสามารถหาเงินในกระเป๋าประชาชนมีเท่าเดิม
เด๋วใกล้สิ้นปีพวกหร่านี้จะมาโม้ว่า เศรษฐกิจดี ได้รับการกระตุ้น
พวกกบฏ ผลาญภาษี หากินกำอำนาจที่ตัวเองปล้นมา
23 ก.ย 2562 เวลา 14.31 น.
The Mo อยากรู้ว่าคนต้นคิดคือใครครับ
23 ก.ย 2562 เวลา 09.48 น.
Prapass ผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ น่าจะเป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพ เชลล์ของบริษ้ทที่ต้องออก ตจว. 555
23 ก.ย 2562 เวลา 14.31 น.
panit เอาเงินอนาคตมาแจกนี่แหละครับประชานิยมไม่ต้องไปด่าใครเขาหลอกทำแบบนี้แล้วคงคิดว่าคนจะรักทั้งประเทศรึ
23 ก.ย 2562 เวลา 14.32 น.
รัฐบาลอะไรก็ไม่รู้
23 ก.ย 2562 เวลา 14.19 น.
ดูทั้งหมด