ไอที ธุรกิจ

เตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงทำธุรกิจในไทย

NATIONTV
อัพเดต 15 พ.ย. 2562 เวลา 02.52 น. • เผยแพร่ 15 พ.ย. 2562 เวลา 00.10 น. • Nation TV
เตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงทำธุรกิจในไทย

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้ศึกษารายงานเรื่อง "ความเสี่ยงระดับภูมิภาคในการประกอบธุรกิจ (Regional Risk of Doing Business ๒๐๑๙) ที่จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลการจัดอันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจของภูมิภาคต่างๆทั่วโลก

จากรายงานการศึกษาดังกล่าวพบว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบางอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด 7 อันดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและอินเดีย (ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตรวมคิดเป็นร้อยละ 60 ของการผลิตโลก) มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

รวมทั้ง หนี้สาธารณะโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ร้อยละ 225 ของ GDP โลก ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของภาคการเงินสาธารณะในทุกภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลเกี่ยวเนื่องต่อความเสี่ยงในด้านอื่น อาทิ การจ้างงาน การจัดสวัสดิการของภาครัฐแก่ประชาชน และราคาพลังงาน เป็นต้น

ในปี 2562 คาดการณ์ว่าโลกจะมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการพัฒนาในระดับภูมิภาคและระดับโลกในวงกว้าง ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยคุกคามที่มีความหลากหลาย และความเสี่ยงต่างๆ จะทำให้แต่ละภูมิภาคมีความจำเป็นต้องร่วมมือกันเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยความร่วมมือกันในระดับภูมิภาคจะสามารถดำเนินการในมุมมองที่แตกต่างและเติมเต็มการแก้ปัญหาที่เดิมไม่สามารถแก้ไขได้

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ได้จัดอันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั่วโลกปี 2562 นี้ 10 อันดับแรก ได้แก่

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

1) วิกฤติทางการเงิน

2) การโจมตีทางไซเบอร์

3) ภาวะการว่างงาน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

4) วิกฤติราคาพลังงาน

5) ความล้มเหลวของรัฐบาล

6) ความวุ่นวายทางสังคม

7) การโจรกรรมข้อมูล

8) ความขัดแย้งระหว่างรัฐ

9) การขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

10) เศรษฐกิจฟองสบู่

สำหรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกนั้น แบ่งได้เป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยี ด้านภูมิรัฐศาสตร์ และด้านเศรษฐกิจ โดยสรุป 10 อันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้แก่

1) ภัยธรรมชาติ

2) การโจมตีทางไซเบอร์

3) ความขัดแย้งระหว่างรัฐ

4) วิกฤตการณ์ทางการเงิน

5) เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่รุนแรง

6) เศรษฐกิจฟองสบู่

7) การโจรกรรมข้อมูล

8) วิกฤติราคาพลังงาน

9) ภาวการณ์ว่างงาน

10) ความล้มเหลวของรัฐบาล

นางสาวพิมพ์ชนกได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "จากการศึกษายังพบว่า ความเสี่ยงในการทำธุรกิจในประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่

1) เศรษฐกิจฟองสบู่

2) ความล้มเหลวของรัฐบาล

3) การโจมตีทางไซเบอร์

4) ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโดยมนุษย์

5) ความไม่มั่นคงทางสังคม

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการด้านการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมทั้งหาทางแนวทางและมาตรการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงต่างๆอย่างเป็นรูปธรรมด้วย"

"สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจะดำเนินการการติดตามรายงานผลสำรวจ การจัดอันดับและการศึกษาต่างๆ ขององค์กรที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อาทิ ธนาคารโลก และสภาเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ซึ่งนับเป็นหน้าที่สำคัญของสำนักงานฯ ที่จะสนับสนุนข้อมูลและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ ให้ตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อส่งเสริมการค้าเชิงรุก (proactive strategy) ให้สามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น" นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวสรุป

ดูข่าวต้นฉบับ