ฟังความเห็นประชาชน จากผลสำรวจ 'สวนดุสิตโพล' เผยคน 67.69% มองความปลอดภัยในชีวิตเเละทรัพย์สินแย่ลง สะท้อนสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ หวั่นโดนโจรผู้ร้าย จี้ปล้น ชิงทรัพย์ ฝั่ง 'นิด้าโพล' เผยคนกรุงเทพ มองหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไร้ประสิทธิภาพ จี้มาตรการจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รายงานผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศเรื่อง "ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ณ วันนี้" โดยสำรวจประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 1,365 คน ระหว่างวันที่ 15-18 ม.ค. 2563 เพื่อสะท้อนความคิดเห็นประชาชนจากกรณีสังคมไทยหลังมีข่าวอาชญากรรมและปัญหาสังคมต่างๆเกิดขึ้นทุกวัน เช่น ข่าวฆ่าข่มขืน จี้ชิงทรัพย์ ค้ายาเสพติด หรือเหตุการณ์ปล้นร้านทอง จ.ลพบุรี เป็นต้น ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก สรุปผลได้ ดังนี้ 1.เมื่อเปรียบเทียบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในช่วงนี้ กับเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ประชาชนคิดว่าเป็นอย่างไร
อันดับ 1 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแย่ลง 67.69% เพราะมีข่าวให้เห็นทุกวัน รุนแรงมากขึ้น มาจากสภาพ เศรษฐกิจตกต่ำ สังคมเสื่อมโทรม คนขาดคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ
อันดับ 2 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเหมือนเดิม 27.47% เพราะสังคมมีปัญหามานาน แก้ไขได้ยาก ชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก ทำให้ประชาชนต้องดูแลตัวเอง ระมัดระวัง ฯลฯ
อันดับ 3 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น 4.84% เพราะสังคมตื่นตัว ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ภาครัฐมีมาตรการเข้มแข็งมากขึ้น กฎหมายเข้มงวดเอาจริงเอาจัง ฯลฯ2.ประชาชนคิดว่าปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ณ วันนี้ สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง อันดับ 1 สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ คนหมดหนทาง ต้องต่อสู้ดิ้นรน ยอมกระทำผิด 53.87% อันดับ 2 สภาพสังคมเสื่อมโทรม มีความเหลื่อมล้ำสูง คุณภาพชีวิตแย่ 24.46% อันดับ 3 รัฐบาลยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ประชาชนต้องพึ่งพาตนเอง 21.36% อันดับ 4 คนขาดคุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ตัว ไม่มีจิตสำนึก 18.27% อันดับ 5 การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด เอาผิดไม่ได้ 14.55% 3.ประชาชนวิตกกังวลกับปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ณ วันนี้ มากน้อยเพียงใด
อันดับ 1 ค่อนข้างวิตกกังวล 42.20% เพราะกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว สังคมมีภัยรอบด้าน สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ย่ำแย่ส่งผลให้คนมีปัญหามากขึ้น ฯลฯ
อันดับ 2 วิตกกังวลอย่างมาก 40% เพราะมีข่าวให้เห็นทุกวัน คนจิตใจโหดเหี้ยมมากขึ้น ปืน อาวุธผิดกฎหมายหาซื้อได้ง่าย ตำรวจไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ฯลฯ
อันดับ 3 ไม่ค่อยวิตกกังวล 14.07% เพราะพยายามใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยง เพิ่มความระมัดระวัง รอบคอบมากขึ้น ฯลฯ
อันดับ 4 ไม่วิตกกังวลเลย 3.73% เพราะดูแลตัวเองได้ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ป้องกันตนเองเสมอ ไม่พกสิ่งของมีค่าติดตัว ฯลฯ4.กรณีปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เรื่องใดที่ประชาชนวิตกกังวลมากที่สุด พร้อมแนวทางแก้ไข
อันดับ 1 โจรผู้ร้าย จี้ปล้น ชิงทรัพย์ 67.59% แนวทางแก้ไข คือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย บทลงโทษรุนแรง ฯลฯ
อันดับ 2 การใช้ความรุนแรง พกอาวุธ ปืน มีด สิ่งผิดกฎหมาย 32.76% แนวทางแก้ไข คือ เจ้าหน้าที่ดูแลกวดขัน เข้มงวด ตรวจตราการใช้อาวุธผิดกฎหมาย ไม่ละเว้นโทษแก่ผู้ใด ฯลฯ
อันดับ 3 การแพร่ระบาดของยาเสพติด 25.17% แนวทางแก้ไข คือ กวาดล้างให้หมดสิ้น ถอนรากถอนโคน จับกุมผู้ค้ารายใหญ่ ครอบครัวต้องดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ฯลฯ
อันดับ 4 ล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน 21.38% แนวทางแก้ไข คือ เพิ่มโทษให้หนัก ประหารชีวิต จับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ มุ่งเน้นปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ
อันดับ 5 ปัญหามลพิษ ฝุ่น ควัน 15.17% แนวทางแก้ไข คือ ภาครัฐแก้ปัญหาอย่างจริงจัง รักษาสิ่งแวดล้อม ประชาชนดูแลตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ ฯลฯ5.สิ่งที่อยากฝากบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ อันดับ 1 บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปรับปรุงบทลงโทษให้เหมาะสม 46.51% อันดับ 2 ตรวจสอบการทำงานของกล้องวงจรปิดทุกจุดให้ใช้งานได้จริง 43.41% อันดับ 3 เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน 20.54% อันดับ 4 ทุกคดีที่เกิดขึ้นควรเร่งติดตาม จับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว 18.60% อันดับ 5 นำเสนอข่าวที่เป็นจริง สร้างสรรค์ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน 16.67%
ประชาชนมองหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5 ไร้ประสิทธิภาพ จี้มาตรการจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง 'การจัดการวิกฤตฝุ่นละออง' ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 16 ม.ค. 2563 จากประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,256 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการจัดการวิกฤติฝุ่นละอองในเขตกรุงเทพ สรุปผลดังนี้ เมื่อถามถึงการปฏิบัติตัวเมื่อเผชิญปัญหาจากวิกฤตฝุ่นละอองของประชาชน ร้อยละ 69.98 สวมหน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน ร้อยละ 21.50 หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน ร้อยละ 10.59 งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ร้อยละ 6.61 ใช้เครื่องฟอกอากาศ ร้อยละ 5.41 ปิดประตู-หน้าต่างกันฝุ่น ร้อยละ 3.66 ใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ทำอะไรเลย ร้อยละ 3.50 ไม่สนใจ เพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง ร้อยละ 3.18 ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ ร้อยละ 2.23 ไม่สนใจ เพราะเป็นปัญหาเล็ก ๆ ร้อยละ 1.83 ไม่สนใจ เพราะคิดว่าร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานดี ร้อยละ 0.64 เดินทางไปอยู่ต่างจังหวัดที่ไม่มีฝุ่น ร้อยละ 0.48 ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละออง ร้อยละ 0.32 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปลูกต้นไม้ ฉีดน้ำบริเวณรอบบ้าน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ซื้อเครื่องตรวจจับค่า pm 2.5 มาใช้ ด้านประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร้อยละ 2.47 มีประสิทธิภาพมาก เพราะ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีการจัดการแก้ปัญหาที่ดี ร้อยละ 17.60 ร้อยละ ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เพราะ มีการพ่นละอองน้ำเพื่อลดฝุ่น มีการแจ้งเตือนเขตพื้นที่สีแดง ทำให้ประชาชนได้เตรียมพร้อมรับมือ ขณะที่บางส่วน ไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ แต่เป็นที่ตัวบุคคลในการทำให้เกิดฝุ่นละออง ร้อยละ 40.84 ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังแก้ไขได้ไม่ตรงจุด ทำงานไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง ควรมีมาตรการอย่างจริงจังที่เป็นรูปธรรมในการควบคุม เช่น การก่อสร้าง รถควันดำ หรือผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ ร้อยละ 36.22 ไม่มีประสิทธิภาพเลย เพราะ การจัดการของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการตื่นตัว ไม่มีการเเก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่มีความชัดเจน ปัญหายังเดิม ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น งานก่อสร้างต่าง ๆ รถประจำทาง/รถส่วนตัวยังมีควันดำ และร้อยละ 2.87 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อถามถึงการมีส่วนช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองของประชาชน ร้อยละ 30.57 ช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถส่วนตัว ร้อยละ 24.20 ฉีดน้ำล้างฝุ่นละอองหน้าบ้านตนเอง ร้อยละ 23.09 หยุดเผาขยะ ใบไม้ เศษวัสดุ ร้อยละ 21.66 ไม่มีส่วนช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง เพราะ การใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ทำอะไรหรือสร้างปัญหาอะไรเกี่ยวกับฝุ่น อยู่แต่ที่บ้าน/อาคารไม่ได้ไปไหน ขณะที่บางส่วนระบุว่า เนื่องจากจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวเพื่อไปทำงาน ร้อยละ 16.96 ดับเครื่องยนต์ ทุกครั้งเวลาจอดรถ ร้อยละ 8.20 หยุดการจุดธูป ประทัด ร้อยละ 7.48 นำรถไปเข้าอู่เพื่อแก้ไขปัญหาควันดำ ร้อยละ 2.23 หยุดการก่อสร้าง ร้อยละ 3.50 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ใช้รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน หรือเดินแทนการใช้รถยนต์ ปลูกต้นไม้ และอยู่บ้านเพื่อลดการใช้รถ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ลดการใช้รถที่เติมน้ำมันดีเซล เปลี่ยนมาใช้รถที่เติมน้ำมันเบนซิน หรือ E20 แทน
Wat Vat Wach รัฐบาล ก็จะบอกว่านี่คือ Fake news นะ ผ่าม!!!
19 ม.ค. 2563 เวลา 17.47 น.
บิวครับ🐼 ความเหลื่อมล้ำ เห็นแก่ตัว ไม่สนคุณภาพชีวิตของพลเมือง ก็กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไป ต่อให้มีเงินก็ต้องใช้ชีวิตแบบหวาดระแวง ไม่ก็ไปอยู่ต่างประเทศที่เจริญแล้ว
19 ม.ค. 2563 เวลา 16.59 น.
oom aam อ้าวอีรองโคสกมัวปลื้มอีกโพล หันมาดุโพลนี้บ้างนะ555555
19 ม.ค. 2563 เวลา 16.40 น.
All time อยู่เมืองไทยต้องทำใจ
เศรษฐกิจไม่ดีโทษเศรษฐกิจโลกได้ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากที่ผ่านๆมาในหลายๆรัฐบาล ได้แต่รัฐบาลโกงกินประเทศกันเป็นส่วนใหญ่
เศรษฐกิจไม่ดี อาชญากรรม ยาเสพติดเยอะ เมืองไทยก็ดันมีพวกเอ็นจีโอ โง่ๆเรียกร้องสิทธิให้พวกอาชญากรในสันดานได้มีชีวิตอยู่เพื่อออกจากคุกมาก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำอีก กฏหมายเมืองไทยก็แสนจะอ่อนปวกเปียกจนไม่มีใครกลัว
การศึกษาไทยเราก็สอนแต่ให้ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เด็กสมัยนี้เลยไม่มีความคิด ติดกระแสนิยม ใช้ความรุนแรง ทำอะไรตามใจตัว สังคมก็เสื่อมลงทุกวัน
19 ม.ค. 2563 เวลา 16.23 น.
puihyperyelly เราจะทำตามสัญญา..ขอเวลาอีกไม่นาน...คุณภาพชีวิตที่งดงาม?..ที่ลุงและสลิ่มจัดให้...
19 ม.ค. 2563 เวลา 16.18 น.
ดูทั้งหมด