ในโลกที่ความรู้สืบค้นได้ง่ายและไว ใครๆ ก็สถาปนาตั้งตนเป็นผู้รู้ know-it-all ได้ในเวลาอันสั้น หลายครั้งเราก็เผลอทึกทักว่าเรารู้จักและเข้าใจสิ่งที่เราเพิ่งเคยได้ยินหรือค้นอ่านเจออย่างถ่องแท้
ย้อนกลับไปในปี 1819 William Hazlitt นักเขียนชาวอังกฤษได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนั้นบัญญัติคำหนึ่งคำขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก คือคำว่า ultracrepidarian แปลว่า ‘ผู้ที่แสดงความเห็นในเรื่องที่เหนือไปจากที่เขารู้แจ้ง’ ฟังแล้วเจ็บๆ คันๆ พิลึก
วันนี้เลยขอชวนมารู้จักกับคำนี้ที่ไม่ใหม่ แต่แปลกตาและมีความเป็นมาน่าสนใจ
ultracrepidarian ผสมจากคำว่า ultra (เกินกว่า) + crepidius (ช่างทำรองเท้า) ซึ่งคำนี้มีที่มาและเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจ ย้อนกลับไปสมัยกรีกมีเรื่องเล่าของศิลปินชื่อ Apelles เมื่อเขาแขวนผลงานภาพวาดตัวเองให้สาธารณชนได้รับชมเพื่อจะได้รับฟังความเห็น มีช่างทำรองเท้าคนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า คนในภาพวาดมีรองเท้าผิดไปจากความเป็นจริง อะเพลลีสรับฟังและแก้ไขภาพตามคำแนะนำ พอเห็นดังนี้ช่างทำรองเท้าก็ชี้ต่อว่า ‘ส่วนขา’ ของคนในภาพวาดไม่ถูกต้อง อะเพลลีสก็โต้กลับไปว่า ช่างทำรองเท้าไม่ควรจะแสดงความเห็นเกินนอกเหนือไปจากรองเท้าที่เขาเชี่ยวชาญรู้แจ้ง เรื่องเล่านี้ถูกบันทึกไว้ในภาษาละติน มีประโยคละตินที่ว่า ‘ne sūtōr ultrā crepidam’ หรือ Shoemaker, not above the sandal. เพื่อปรามช่างทำรองเท้าให้อย่าเกินเลยไปจากรองเท้าที่เขาถนัด
อย่าริเสนอความเห็นหากคุณไม่รู้อาจฟังดูก้าวร้าว แต่ ultracrepidarian ถูกรวมอยู่ในลิสต์ 10 คำที่สุภาพสำหรับคนที่ไม่สุภาพ (polite words for impolite people) ที่ใช้สำหรับท้วงติงคนที่เล่นเป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องที่ไม่รู้จริง มากกว่าจะใช้เพื่อห้ามคนที่แสดงความคิดเห็นมั่วๆ ได้
Anu Garg เจ้าของเว็บไซต์ wordsmith.org เขียนชมคำนี้ว่า ‘ผมฝันถึงโลกที่เราจะด่าทอกันมากกว่าหยิบปืนออกมายิงกัน ในโลกที่ทุกคนพกพาพจนานุกรม ด่ากันให้ถึงพริกถึงขิง เลือกใช้คำที่ใช่ คำที่เหมาะกับคนที่รุกรานทำร้ายเรา ยิ่งใช้คำใหญ่ ยิ่งร้าย ยิ่งดี’ และคำนี้ก็ได้ให้ความรู้สึกแสบคันอย่างสุภาพ แถมอ่านและเขียนยากอีกต่างหาก
คำว่า ultracrepidarian มุ่งโจมตีหรือตั้งคำถามกับคนที่แสร้งเป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่าจะโจมตีผู้ที่แสดงออกทางความเห็นทั่วไป เพราะต่อให้ไม่มีความรู้ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้เรียนจบด้านนั้นๆ โดยตรงก็สามารถออกความเห็นเรื่องต่างๆ ได้ในฐานะประชาชน ผู้ใช้งาน ผู้ชม ผู้เสพ เช่น คนวิจารณ์หนังก็ไม่จำเป็นต้องทำหนังเป็น หากวิพากษ์คนรวยก็ไม่ต้องรวย เก่ง เสียสละ เท่าเขาถึงจะวิจารณ์เขาได้
คำว่า ultracrepidarian มีเพื่อเตือนใจให้ระวังผู้ที่อวดอ้างความรู้เกินจากที่ถนัด เหมาะสมกับสมัยที่เราต่างรายล้อมด้วยผู้รู้ที่คอยพร่ำสอนเราด้วยคำคมปลุกใจน่าฟังน่าเชื่อ
armchair epidemiologist เมื่อคนนั่งอยู่บ้านกลายเป็นนักวิชาการด้านโรคระบาดข้ามคืน
คำนี้ยังเข้ากับยุคสมัยเพราะในภาวะโควิดระบาดเช่นนี้เราต้องสอดส่องติดตามข่าวสารโรคระบาดอย่างใจจดจ่อ เราได้เห็นคำแนะนำจากคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้คุ้นเคยกับโรคระบาดหรือศึกษาด้านนี้ออกมาบ่อยครั้ง ซึ่งหากเป็นเพียงความเห็นก็ไม่เป็นไร แต่บางคนมาพร้อมความมั่นใจ ถูกแชร์ออกไปจำนวนมาก
จนมีคนแซวว่าตอนนี้ชาวเน็ตบางคนได้กลายเป็น armchair epidemiologist หรือนักระบาดวิทยาจากทางบ้าน ผู้ที่นั่งสบายอยู่บ้านแล้วมโนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโรคระบาดต่างๆ โดยปราศจากความเชี่ยวชาญคุ้นเคยสาขานั้นอย่างลึกซึ้ง ในเหตุการณ์เช่นนี้นอกจากต้องลดความเสี่ยงในการติดโรคไวรัสแล้ว ยังต้องระวังความเสี่ยงจากการเข้าใจผิดๆ และความมั่นใจผิดๆ ด้วย
Mark Humphries นักแสดงตลกชาวออสเตรเลีย ได้ออก skit ล้อเลียนผู้เชี่ยวชาญปลอมที่เพิ่งเกิดในยุคโควิด พวกเขาเพิ่งอ่านเจอในวิกิพีเดีย ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินหรือรู้จักระบาดวิทยามาก่อน แต่แปลงกายเป็นผู้เชี่ยวชาญ คอยสอนและแนะนำคนอื่นแบบผิดๆ ถูกๆ
สิ่งที่ต้องระวังในการแสดงเป็นผู้รู้คือ อาจมีการทึกทักเติมความเห็นส่วนตัวลงไปปนเปื้อนกับข้อเท็จจริง ส่งต่อความเข้าใจผิด ความมั่นใจผิดๆ ให้ขยายวงกว้างไปอย่างน่าเศร้า
ผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ฟัง ควรระมัดระวังกลั่นกรอง คำกล่าว ข้อสรุป การพยาการณ์ที่ดูง่ายเกินไป เกิดจากความมั่นใจเกินเหตุของผู้ที่ไม่รู้ว่าตนไม่รู้ อย่าลืมว่าโรคระบาดที่อุบัติขึ้นเกี่ยวข้องกับชีวิตคนจำนวนมาก มีตัวแปรประกอบมากมายเกินกว่าจะหาข้อสรุปหรือคาดคะเนได้อย่างแม่นยำและเรียบง่าย
การเติมคำว่า armchair นำหน้าอาชีพผู้เชี่ยวชาญพิเศษเริ่มต้นมาจาก armchair philosopher เพื่อเปรียบเปรยนักปรัชญาผู้นั่งคิดไตร่ตรองความเป็นจริงของโลกอยู่บ้าน บนเก้าอี้นุ่มแสนสบาย สรุปออกมาเป็นทฤษฎีแนวคิดโดยไม่ได้ออกไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทดสอบสมมติฐาน ในโลกที่มีตัวแปรมากมายมหาศาล มนุษย์นั้นสามารถแปรเปลี่ยนแตกต่างไปในแต่ละสภาพแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม
หลายครั้งเราได้เห็นคนที่นำคำคมหรือแนวคิดทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับแล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับความเห็นส่วนตัว บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ถูกปลุกและหยิบออกมาเพื่อนำมาประดับให้กับข้อความ เราเห็นการอ้างอิง Charles Darwin หรือ Albert Einstein โดยไม่เข้าใจกลไกและหลักคิดอย่างถ่องแท้ เช่น การหยิบโควตดูดี คำคมที่กระแทกใจ ตัดออกมาจากบริบทของเนื้อหา ใช้ประกอบความเห็นโดยไม่ได้สืบค้นเบื้องหลังแนวคิดต้นตอของคำคม เทคนิคเหล่านี้ถูกใช้เพื่อแต่งเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้พูด เพื่อโน้มน้าวให้เราคล้อยตามอย่างว่าง่าย เมื่อส่องดูจริงๆ กลับเป็นการตัดแปะผิดฝาผิดตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แน่ล่ะ เมื่อเราเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ส่องดู เปิดอ่านอะไรก็มีมากมายนับไม่ถ้วน จึงน่าเย้ายวนใจมากๆ ที่เราจะแสดงตนเป็นคนฉลาดหลักแหลม เผลอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราก็ไม่รู้จริง ปรากฏการณ์ผู้รู้ปลอมเป็นอุปสรรคต่อผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ในสาขานั้นและเป็นอุปสรรคต่อข้อเท็จจริง
เบื้องหลังความรู้และแนวคิดต่างๆ นั้นมีชุมชนและประวัติศาสตร์ของแนวคิดที่มากมายไปกว่าตัวบุคคลสำคัญหรือคำคมไม่กี่ประโยค และมันไม่ง่ายเลยที่เราจะตามไปขุดทุกรู รู้ทุกราก และเราก็อยู่ในโลกที่ต้องพึ่งพาความรู้และความจริงจากผู้อื่นที่เชี่ยวชาญในแวดวงต่างๆ ความจริงทางวิทยาศาสตร์มีตัวแปร ความน่าจะเป็น สถิติ และข้อจำกัด
โลกนี้มีความรู้หลากหลายมากมายไม่มีที่สิ้นสุด คงไม่มีทางที่เราหนึ่งคนจะรู้ลึกซึ้งไปทั้งหมดทุกอย่าง
หลายครั้งเราเผลอทึกทักปะปนความรู้ที่สืบค้นเมื่อชั่วครู่ รับมาเป็นความรู้ของเราเอง จงระวังตัวจากผู้รู้ปลอมและอย่ากลายเป็นคนนั้นเสียเอง 🙂
อ้างอิง
10 Polite Words for Impolite People 10 Polite Words for Impolite People
A.Word.A.Day –ultracrepidarian
Beyond the armchair: must philosophy become experimental?
Flatten the Curve of Armchair Epidemiology – Noah Haber
Highlights
- คำว่า ultracrepidarian หมายถึงผู้ที่แสดงความเห็นในเรื่องที่เหนือไปจากที่รู้แจ้ง อาจฟังดูแปลกหูแปลกตาแต่มีที่มาจากการผสมคำว่าultra (เกินกว่า) + crepidius (ช่างทำรองเท้า) โดยศิลปินชื่อApelles
- ultracrepidarian ถูกรวมอยู่ในลิสต์10 คำสุภาพสำหรับคนที่ไม่สุภาพ ใช้สำหรับท้วงติงคนที่เล่นเป็นผู้รู้แจ้งในเรื่องที่ไม่รู้จริง มากกว่าจะใช้เพื่อห้ามคนที่แสดงความคิดเห็นมั่วๆ
- ช่วงโควิดระบาดเราได้เห็นคำแนะนำจากคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญบ่อยครั้ง บางคนมาพร้อมความมั่นใจ ยกทฤษฎีนั่นนี่ทั้งที่ยังอ่านไม่เข้าใจ แล้วถูกแชร์ออกไปจำนวนมาก คำนี้เลยถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีก
เจ๋งอะ
25 พ.ค. 2563 เวลา 07.27 น.
Ton. ขอบคุณมากสำหรับข้อเขียนดีๆครับ
25 พ.ค. 2563 เวลา 03.52 น.
Nopakhun 2377 อ้าวนึกว่านายกกับสตรีหมายเลขหนึ่งอาจารย์น้อง เมียลุงแกเป็นผู้รู้แจ้งซะอีก เชียร์สิคะเชีบร์
25 พ.ค. 2563 เวลา 02.30 น.
แก้ว เราอยู่ในยุคที่คนในสังคมแต่ละคน มีความเชื่อกันคนละหลายอย่าง และก็บอกไม่ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
แม้แต่บทความนี้ก็ไม่น่าเชื่อโดยทันทีถ้าขาดการพิสูจน์ เพราะสำหรับคนที่ศึกษาและลงมือทำหลายอย่างจนเข้าใจ ก็รอบรู้เป็นเรื่องธรรมดา การตีกรอบคนให้รู้หรือทำอะไรได้สิ่งเดียวมันขัดธรรมชาติ
25 พ.ค. 2563 เวลา 02.16 น.
การมีสามัญสำนึกที่ดีก็ย่อมที่จะรู้ถึงในสิ่งที่ควรจะทำ.
25 พ.ค. 2563 เวลา 02.12 น.
ดูทั้งหมด