เชื่อไหมว่าเดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยยอมรับอะไรง่าย ๆ ไม่รู้เพราะโลกนี้มันน่ากลัวขึ้นทุกวัน หรือคนเราหวาดระแวงกันไปเอง แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องยอมรับอะไรสักอย่าง ร้อยทั้งร้อยมักจะปักหลักตั้งแง่ โดยไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น
ในทางจิตวิทยาแล้ว การยอมรับคือความยินยอมของบุคคลหนึ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หนึ่ง โดยไม่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนความคิดหรือคัดค้านในสิ่ง ๆ นั้น
พูดง่าย ๆ การยอมรับก็คือการยินยอมพร้อมใจโดยไม่ขัดข้อง ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุย ทำความเข้าใจในในขั้นต่อไป ดังนั้นการยอมรับจึงไม่ใช่การเห็นด้วยหรือสนับสนุนในสิ่งที่อีกคนคิดหรือทำ ยกตัวอย่างให้ง่ายกว่านั้น เช่น การยอมรับว่าแฟนของเราเป็นคนเจ้าชู้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเห็นด้วยกับความเจ้าชู้นั้นแต่อย่างใด
ข้อดีของการยอมรับ ก็คือการที่เราพร้อมจะมองเห็นอะไรสักอย่างในแบบที่มันควรจะเป็น หรือเรียกว่าเห็นภาพของสิ่ง ๆ นั้นได้ชัดเจนขึ้นก็ได้ ซึ่งยิ่งเรายอมรับเรื่องต่าง ๆ ได้เร็วเท่าไหร่ เราจะก็จะยิ่งมีพลังในการก้าวต่อไปได้ง่ายขึ้น และนี่คือ 7 พลังที่แฝงอยู่เบื้องหลังการยอมรับเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้น
1. พลังที่จะเข้าใจความเป็นไปที่เกิดขึ้น
โดยทั่วไปคนเราจะยอมรับได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจแล้วเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น โอกาสที่จะยอมรับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ก็แทบไม่มีเลย เช่น คนเราจะยอมรับความจริงได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจแล้วว่ามันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็มีแต่การยอมรับความจริงว่าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด
ความเข้าใจแบบนี้ จะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังกระบวนการยอมรับก็ได้ บางคนเข้าใจก็เลยยอมรับ หรือบางคนยอมรับก็เลยเข้าใจ ซึ่งปลายทางสุดท้ายก็แทบไม่ต่างกัน แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือวิธีคิด เพราะการยอมรับและเข้าใจไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นได้เอง หรือเกิดกันได้ง่าย ๆ ต้องอาศัยเหตุผล ปัจจัยแวดล้อม และความพยายามจึงทำให้เกิดได้
ดังนั้นเมื่อยอมรับและเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว วิธีคิดของคนเราจะเปลี่ยนไป ทีนี้พอมีปัญหา หรือเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นโอกาสที่เราจะทำความเข้าใจและยอมรับมันก็ง่ายขึ้น
2. พลังที่จะเปิดโลก เปิดใจ
จริง ๆ แล้วการยอมรับไม่ได้หมายความว่าต้องเห็นด้วยกับสิ่ง ๆ นั้น แต่การยอมรับคือ การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นการยอมรับจึงไม่ต่างอะไรกับการเปิดใจ
ทุกวันนี้ความขัดแย้งเกิดขึ้นทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวที่ควรจะเป็นส่วนสำคัญที่คอยสนับสนุนกันและกัน เหตุผลหนึ่งก็เพราะคนในครอบครัวมีความคิด ความเห็นที่แตกต่างกัน และต่างฝ่ายต่างก็อยากให้อีกคนคิดเหมือน ๆ กัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเท่าเทียมที่จะคิดและทำในสิ่งที่ตนเชื่อหรือศรัทธา ไม่มีใครควรถูกลิดรอนสิทธิ์อันเป็นพื้นฐานนี้ทั้งนั้น
อย่างที่บอกว่าการยอมรับไม่ได้แปลว่าต้องเห็นด้วย แต่คือการเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร หรือก็คือความเข้าใจในความเห็นที่ต่างกัน เพราะหลายครั้งที่ความขัดแย้งเกิดขึ้น และมีผลกระทบที่รุนแรงตามมาเนื่องจากแต่ละฝ่ายไม่ยอมรับ และเข้าใจไปเองว่าถ้ายอมรับแปลว่าต้องเห็นด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วแค่ยอมรับว่ามีคนอื่นที่คิดไม่เหมือนเรา ก็คือการเปิดโลก เปิดใจให้กว้างขึ้นอีกหน่อยนึงแล้ว
3. พลังที่จะทำให้อคติอันตรธานหายไป
ว่ากันว่าสติทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนอคติก็มักชอบทําเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หน้าที่ของอคติก็คือการทำให้จิตใจเรามืดบอด มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เราอยากเห็น และส่วนใหญ่อคติมักจะทำเสียเรื่อง เพราะทำให้คนเราไม่มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
เหตุผลหนึ่งที่คนเราตั้งป้อมกับอะไรสักอย่างก็เพราะอคติ ที่สำคัญร้อยทั้งร้อยมักจะมีเหตุผลกับการตั้งแง่แบบนั้นเสมอ ไม่ดีบ้างล่ะ ไม่ใช่บ้างล่ะ ไม่ต้องถูกต้องบ้างล่ะ แต่ทั้งหมดคือเหตุผลที่มาจากอคติโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ซึ่งโดยทั่วไปแบบนี้ไม่เรียกว่าเหตุผล แต่มันคือข้ออ้างที่จะไม่ยอมรับความจริง
การจะบอกว่าให้วางอคติแล้วคิดหรือทำอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งเดียวที่ทำให้คนเราเลิกอคติได้ก็คือการมีสติ เพื่อที่จะยอมรับอย่างเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อสติดึงให้เรายอมรับในเรื่องต่าง ๆ ได้ จิตใจที่มีอคติก็จะหายไปเอง
4. พลังที่จะเลิกปฏิเสธความจริง
เรื่องจริงก็คือมนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธความจริงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คนเราไม่พร้อมที่จะเดินหน้าเพื่อยอมรับอะไรก็ตามที่มันคาดไม่ถึงหรือควบคุมไม่ได้ และความจริงก็มักจะเป็นอย่างนั้น
เวลาเจอความทุกข์หรือเหตุการณ์รุนแรงอะไรสักอย่าง คนเรามักจะเลือกที่จะไม่ยอมรับ และหนีความจริง ด้วยการไม่คิดถึงมัน ไม่พูดถึงมัน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจินตนาการว่ามันเป็นอีกแบบไปเลย แต่การทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข เพราะการไม่ยอมรับความจริงทำให้เรามองไม่เห็นตัวเอง มองไม่เห็นสถานการณ์ตามที่มันเป็น ซึ่งถ้าพอไม่เห็นความจริง ก็ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เรายอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้ เราจะเลิกปฏิเสธความจริง อย่าลืมว่าไม่มีใครหนีความจริงได้พ้น สุดท้ายแม้จะไม่ชอบ หรือทำเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วอยู่ดี จะยอมรับแล้วลุกขึ้นมาสู้ หรือยอมแพ้แล้วตายไป เรานี่แหละที่ต้องตัดสินใจ
5. พลังที่จะแก้ปัญหา
ก้าวแรกที่สำคัญของการแก้ปัญหาก็คือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เชื่อไหมว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการแก้ปัญหาไม่ใช่ขนาดของปัญหา แต่เป็นการยอมรับว่ามันเป็นปัญหา
ในการแก้ปัญหาอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องความรัก การเงิน ชีวิต สิ่งสำคัญที่คนเราไม่ควรหันหลังให้เลยก็คือ ความจริง เพราะทันทีที่หันหลังให้แล้ว นอกจากจะไม่เกิดการเดินหน้าต่อ เราก็จะไม่มีทางวางแผนการแก้ปัญหาได้ต่ออย่างถูกต้องและเหมาะสม
สิ่งสำคัญก็คือยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเราจะมีพลังในการแก้ไขปัญหาพวกนั้นได้เอง ตราบใดที่ไม่ยอมรับว่ามันคือปัญหา ก็ไม่มีทางแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วได้
6. พลังที่จะเรียนรู้
เชื่อไหมว่าการไม่ยอมรับคือการปิดประตูหันหลังให้ความรู้อย่างไม่ใยดี ทุกตำราบอกว่าคนเราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้สอนอะไรบางอย่างให้กับเราได้เสมอ แต่เราต้องยอมรับมันเสียก่อน
ยอมรับความจริง ก็ได้เรียนรู้ตามความเป็นจริง
ยอมรับความต่าง ก็ได้เรียนรู้ถึงความแตกต่าง
ยอมรับความผิด ก็ได้เรียนรู้วิธีไม่ให้พลาดซ้ำ
ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก็ได้เรียนรู้ถึงการปรับตัว
และทุกครั้งที่ยอมรับ เราก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นเสมอ
7. พลังที่จะเปลี่ยนแปลง
การยอมรับนำไปสู่อะไรหลาย ๆ อย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อกระบวนการยอมรับเกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือความคิดในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เดิมเราอาจจะดื้อดึง ยึดเอาความคิดตัวเองของตัวเองเป็นหลัก จนมองไม่เห็นในสิ่งที่มันควรจะเป็น แต่เมื่อทุกอย่างผ่านกระบวนการยอมรับมาแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
พูดง่าย ๆ เหมือนหลุดออกจากบล็อกอะไรสักอย่างที่มันขังความคิด การมองเห็นให้อยู่แต่ในกรอบเดิม ๆ แต่เมื่อเราหลุดจากบล็อกพวกนั้นออกมาได้แล้ว เราจะพร้อมรับอะไรก็ตามที่มันจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจ ความคิด และการกระทำของเราเองที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทีนี้ไม่ว่าสลักอะไรที่ยึดติดความคิดเราเอาไว้ มันก็จะหลุดออกไปง่ายขึ้น เพราะเมื่อยอมรับสิ่งหนึ่งได้แล้ว สิ่งต่อไปก็จะตามมา
มาถึงตรงนี้คงสรุปได้แล้วว่าการยอมรับมีพลังอย่างไม่เชื่อ นอกจากจะทำให้ภาพเก่า ๆ ในหัว ซึ่งอาจเป็นภาพผิด ๆ ให้หลุดออกไปแล้ว การยอมรับยังสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย และทันทีที่เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ความคิด การกระทำ และพฤติกรรมของเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
su พลัง แปลว่ากำลัง
ความคิดเกิดจากใจ
ใจคือนามธรรม พลังความรัก ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สร้างแรงกำลังในด้านบวก
พลังความโลภ โกรธ หลงก็เกิดจากใจ
ทุกอย่างขับเคลื่อนแปลงเป็นพลังความคิด เป็นพลังจิต
เอามาสร้างสรรค์ก็ได้ ทำลายเข่นฆ่ากันก็ได้
กำลังทางกายเกิดจาก ดิน น้ำ ลมไฟ
พืชผักธัญญาหารเนื้อสัตว์ต่างๆล้วนเกิดจากธาตุ
กายดี อาหารดี ใจดี สุขภาพดี
☺️
17 พ.ค. 2564 เวลา 00.30 น.
Suchaya ในคำสอนำของพระพุทธเจ้า สอนให้เราเรียนรู้ความจริงของตัวเอง, ความจริงของโลกใบนี้ หรือเรียกว่า อริยสัจสี่ ให้รู้แจ้งเห็นจริง ในความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง ของสรรพสัตว์ ของโลกค่ะ, สาธุ
17 พ.ค. 2564 เวลา 01.21 น.
ในการเปิดใจยอมรับกับในความเป็นจริงให้ได้ย่อมที่จะช่วยทำให้ไม่เป็นทุกข์เพราะปัญหาทุกอย่างย่อมที่จะมีทางที่จะแก้ไขเพื่อให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นและถูกต้องได้อยู่เสมอ.
16 พ.ค. 2564 เวลา 22.04 น.
Montana การยอมรับ คือ การเริ่มต้น
17 พ.ค. 2564 เวลา 02.02 น.
แอดมินไลน์ ชอบสอนแต่คว่ายสามกีบ
17 พ.ค. 2564 เวลา 04.22 น.
ดูทั้งหมด