วันที่ 10 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเห็นต่อมาตรการเยียวยา 5,000 บาทของรัฐบาลว่า มาตรการเยียวยา 5,000 บาทที่กำลังทำอยู่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนัก รัฐบาลจะต้องรีบแก้ไขให้ตรงจุดและดำเนินการโดยด่วน มาตรการนี้ตั้งเป้าแคบเกินไปไม่สอดคล้องกับจำนวนประชาชนที่เดือดร้อนซึ่งมีมากกว่าเป้าหลายเท่า ขณะนี้การดำเนินการยังล่าช้ามากประชาชนที่ตกงานหยุดงานขาดรายได้มีจำนวนมากและอยู่กัน โดยไม่มีเงินใช้มากว่าครึ่งเดือนแล้ว แม้แต่คนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายก็ยังเจอกับปัญหาหลักเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจนและการคัดกรองที่ไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดความรู้สึกกันว่าคนที่ไม่ควรได้ทำไมได้ คนที่ควรได้กลับไม่ได้ หากรัฐบาลแก้ปัญหานี้ล่าช้าและไม่รีบขยายมาตรการให้ครอบคลุมคนให้มากกว่านี้โดยเร็วจะทำให้ประชาชนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านเดือดร้อนอย่างหนักจนกลายความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่”
“จุดแตกต่างจากมาตรการของหลายประเทศคือของไทยไม่ได้พยายามชะลอการปิดกิจการและการปลดหรือเลิกจ้างคนงานด้วยการร่วมมือสนับสนุนภาคเอกชน อยากเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้ในการออกมาตรการต่อๆไป” นายจาตุรนต์ กล่าว
การดำเนินมาตรการนี้กำลังตามหลังสถานการณ์หลายก้าวเนื่องจากเป็นมาตรการแบบตั้งรับคือสั่งปิดสถานที่ต่างๆไปก่อนค่อยมาคิดมาตรการตามหลัง มาตรการนี้เน้นดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดสถานที่และการหยุดกิจการต่างๆ ต่อมากิจการที่ไม่ถูกสั่งแต่ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากพวกที่ถูกสั่งปิดก็ปิดตัวเองเพราะอยู่ไม่ได้ คนหาเช้ากินค่ำจำนวนมากก็ไม่มีรายได้ จำนวนผู้เดือดร้อนจึงมากกว่าที่คำนวณไว้ นอกจากนี้ยังมีกิจการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจโลกเช่นการส่งออกและโดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งรายได้ขาดหายไปมหาศาล คนเดือดร้อนยิ่งมากขึ้น แต่ไม่ได้รับการเยียวยาจากมาตรการของรัฐบาล
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือรีบคัดกรองคนให้เร็วด้วยหลักเกณฑ์ที่โปร่งใสชัดเจน รีบส่งเงินให้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็วางแผนออกมาตรการที่ดูแลผู้ที่เดือดร้อนที่อาจมีจำนวนมากกว่ากลุ่มเป้าหมายนี้อีกหลายเท่าโดยเร็ว หากศึกษาจากประเทศต่างๆจะพบว่าการดูแลผู้เดือดร้อนครอบคลุมกว้างขวางกว่าของไทยเรามาก
สำหรับจำนวนเงิน 5,000 บาทนั้นหากเทียบกับการแจกเงินในโครงการก่อนๆอาจฟังดูเหมือนเป็นเงินมาก แต่โครงการก่อนการเลือกตั้งเป็นการแถมเงินให้ประชาชนที่เดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจ ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่เดือดร้อนมากว่าเพราะกิจการต่างต้องปิดและคนทำมาหากินไม่ได้เลย สังคมในปัจจุบันเมื่อประชาชนกลับไปต่างจังหวัดไม่มีงานทำก็อยู่ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนแล้ว อย่าไปคิดว่านี่เป็นลาภที่ไม่ควรได้ ระยะหนึ่งยังต้องคิดว่าเมื่อ 5,000 บาทต่อเดือนไม่พอใช้ รัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไร ถ้าต้องเพิ่มเงินขึ้นอีกจะเอาเงินมาจากไหน
หากศึกษาจากมาตรการเยียวยาใหหลายประเทศจะพบว่ามีจุดแตกต่างจากประเทศไทยที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือเขาจะเน้นการร่วมมือกับภาคเอกชนในการดูแลพนักงานลูกจ้าง คือหาทางช่วยให้กิจการต่างๆไม่ต้องล้มหรือหยุดไป หากต้องหยุดชั่วคราวก็ยังไม่ปลดหรือเลิกจ้างคนงานด้วยการช่วยเอกชนจ่ายเงินค่าจ้าง วิธีนี้จะทำให้คนตกงานน้อยลง กิจการที่ปิดแล้วจะเปิดใหม่ก็ไม่ยาก เศรษฐกิจเดินได้และภาระของรัฐบาลในการดูแลคนตกงานก็น้อยลง
“ส่วนการที่มีการขู่จะดำเนินคดีกับผู้ที่สมัครขอรับเงินทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิ์นั้น รัฐบาลคงต้องรีบทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบว่าไม่ควรจะไปเล่นงานเอาเป็นตายกับประชาชนที่กำลังเดือดร้อนกันอยู่ทั้งนั้น ในเวลานี้คนที่ไม่มีจะกิน ไม่มีนมเลี้ยงลูก ใครๆก็ต้องการเงินใช้ เงิน 5,000 บาทนี้เป็นค่าเยียวยาที่ประชาชน ถ้าเขาคิดว่ามีสิทธิ์ได้รับเงินแล้วสมัครมาแต่ตรวจแล้วว่าไม่มีสิทธิ์อย่างมากก็แจ้งเขาไป และหากเดือดร้อนมีคนจำนวนมากๆแต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ รัฐบาลก็ควรขยายหลักเกณฑ์ให้กว้างขึ้น” นายจาตุรนต์ กล่าวในตอนท้าย
ไพรัตน์ ท่านมีผลงานอะไรที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองให้เจริญ...ขอชักอย่างครับ
10 เม.ย. 2563 เวลา 11.46 น.
Chavalit Pok ไอ้สาระเลวตัวนี้ออกมาอีกแล้ส ไม่มีไครเขาเชื่อมึงแล้ว ไอ้เลว อยู่บ้านเถอะ หมดแล้ว สังขาลนะ
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.21 น.
buncha ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ จาตะรน อะไรที่เป็นนโยบาย ดำเนินการ ทำอะไร จาตะรน เห็น บอก ไม่ดีทั้งหมด แม้แต่ลมหายใจ ก็หายใจก็ผิด ต้องหายใจออกก่อน ถึงหายใจเข้า .... เห้อ....
10 เม.ย. 2563 เวลา 11.02 น.
Kanitta (Tak) 🎆 ฝ่ายค้านไม่มีประโยชน์ ชาวบ้านควรกร่นด่าพวกนี้ให้เงียบปาก
10 เม.ย. 2563 เวลา 11.44 น.
wc ถ้าวันนี้โควิดหมดไปจากเมืองไทย มันก็คงวิจาร์ณรัฐบาลแก้ปัญหาช้าเกินไป น่าจะเร็วกว่านี้
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.17 น.
ดูทั้งหมด