สหภาพรถไฟฯ ออกแถลงการณ์ เรียกร้องรัฐบาลร่วมรับผิดชอบค่าโง่"โฮปเวลล์" ชี้ไม่เป็นธรรมหากใหรฟท.รับภาระ คาดมูลหนี้ พร้อมดอกเบี้ย ไม่ต่ำกว่า 5.8 หมิ่นล.
24 เมษายน 2562 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) ได้ออก แถลงการณ์ความเสียหายของประเทศ “กรณีโฮปเวลล์”ต้องไม่ผลักภาระให้ รฟท.แต่ต้อง..ร่วมกันหาทางออกเพื่อไม่ให้ความสูญเสียเกิดขึ้นแก่รัฐอีกในอนาคต
ภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กรณีพิพาทระหว่าง บริษัทโ ฮปเวลล์(ประเทศไทย)จำกัด กับกระทรวงคมนาคม และศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นยกฟ้องมีผลให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551โดย รฟท.ต้องคืนเงินชดเชยให้กับบริษัทโฮปเวลล์จากการบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาท โดยไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้คืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาทที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพ ประกอบด้วยเงินที่บริษัทได้ชำระเป็นค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท.ถึงก่อนวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 2,850 ล้านบาท รวมถึงเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38 ล้านบาท และเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด
ซึ่งจากการคำนวณแล้วมูลค่าความเสียหายที่จะต้องชดใช้ประมาณ 58,000 ล้านบาทตามที่สื่อมวลชนและสื่อออนไลน์ได้แพร่กระจายเป็นที่รับรู้ของสังคมและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในประเด็นต่างๆทั้งในเรื่องการตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใสของโครงการนี้ตั้งแต่ต้น การทำสัญญาของรัฐที่หละหลวม ความรับผิดชอบจะเป็นของใคร รวมถึงการทุจริตจากโครงการนี้ จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และประชาชนทุกคนก็มีสิทธิในการตั้งคำถาม และร่วมกันตรวจสอบ เพราะเงินที่จะต้องจ่ายไปเป็นค่าความเสียหายเหล่านี้คือภาษีของประชาชน
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.)ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเกิดภาวะความตระหนก ตกใจ ไม่ได้แตกต่างจากประชาชนทั่วไป แต่ยิ่งกว่าด้วยซ้ำเมื่อมองถึงสถานะทางการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขาดทุนสะสมจากนโยบายของรัฐบาลในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน คนยากจนทั่วประเทศคิดเป็น 92% จากผู้โดยสารทั้งหมดจนเกิดภาระหนี้สินสะสมถึงกว่า 100,000 ล้านบาท
ประเด็นที่อยากให้สังคมรับทราบในจุดยืนของ สร.รฟท.ในกรณีนี้คือ
1.สร.รฟท.ไม่ได้คัดค้านการดำเนินการของโครงการโฮปเวลล์ หรือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System – BERTS ) ตั้งแต่ต้น และสนับสนุนเสียด้วยซ้ำเนื่องจากวิเคราะห์และมองเห็นภาพแห่งอนาคตว่าการขนส่งระบบรางนั้นมีความจำเป็นอย่างมากต่อประเทศชาติทั้งการเชื่อมต่อกับภูมิภาคต่างๆของประเทศและภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพที่มีจำนวนประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นและการเพิ่มจำนวนของยานพาหนะการจราจรที่แออัด โครงการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
2.สิ่งที่ สร.รฟท.กังวลและตั้งคำถามในช่วงเวลานั้นคือ ผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับจากโครงการเพราะโครงการนี้รัฐไม่ต้องจ่ายเงินลงทุน การออกแบบก่อสร้างและการระดมเงินทุนเป็นของดำเนินการโดยบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือโฮปเวลล์โฮลดิงส์ทั้งสิ้น ดังนั้นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังโครงการเสร็จ รัฐจะได้ประโยชน์แค่ไหนอย่างไร และแรกเริ่มโครงการนี้จะทำไปพร้อมๆกับการพัฒนาที่ดินของ รฟท.เพื่อนำเงินจากการพัฒนาที่ดินมาดำเนินการในโครงการนี้ด้วย ซึ่งในตอนนั้น สร.รฟท.เห็นว่าประเด็นหลักของโครงการนี้คือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการก่อนคือการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟยกระดับให้เสร็จก่อนจึงไปพัฒนาที่ดิน
3.โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร หรือโครงการโฮปเวลล์เป็นโครงการที่ขาดการมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ต้น อย่าว่าแต่ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งพนักงานการรถไฟฯ หรือ สร.รฟท.แทบจะไม่มีส่วนร่วมแม้แต่น้อย และในช่วงเวลาที่โครงการนี้เกิดขึ้นและมีการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2533
โดยนายมนตรี พงษ์พานิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และต่อมาในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และได้ออกประกาศ รสช.ฉบับที่ 54 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 ยุบเลิกสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจแล้วให้ตั้งเป็นสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจแทน การตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของสหภาพแทบทำไม่ได้เลยในเวลานั้น
4.โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร หรือโครงการโฮปเวลล์ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณในยุคเริ่มต้นและต่อมาอีกหลายรัฐบาลแม้จะมีความพยายามที่จะให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปแต่ก็ไม่สามารถไปต่อได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเรื่องการระดมทุนและการขาดสภาพคล่องของบริษัทโฮปเวลล์เอง และเกิดจากปัญหาความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโลก อีกทั้งโครงการมีปัญหาที่จะต้องเจรจากับทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆที่คาบเกี่ยวกัน รวมทั้งประชาชนที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ของโครงการ
ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่ได้มีกระบวนการในการศึกษาสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ให้แก่หน่วยงานต่างๆและภาคประชาชนก่อนทำสัญญาระหว่างรัฐและเอกชนจึงทำให้เกิดปัญหาความไม่ก้าวหน้าของโครงการ จนการก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์ สิ้นสุดลงในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 หลังดำเนินการก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี
ซึ่งความจริงแล้วโครงการโฮปเวลล์มีอายุสัมปทาน 30 ปี ระยะการก่อสร้าง 8 ปี ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2534 – 5 ธันวาคม 2542 แต่โครงการมีความคืบหน้าเพียง 13.77 %หลังดำเนินการก่อสร้างมาเป็นเวลา 7 ปี ขณะที่แผนงานกำหนดว่าควรจะมีความคืบหน้า 89.75%ต่อมากระทรวงคมนาคมได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2541
5.จะเห็นได้ว่าโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร หรือโครงการโฮปเวลล์ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลโดยโครงการทั้งหมดสร้างในพื้นที่ของการรถไฟฯและผลประโยชน์ตอบแทนที่บริษัทผู้ได้รับสัมปทานจะได้รับหากโครงการนี้สำเร็จก็เกิดจากทรัพย์สินของการรถไฟฯเท่ากับว่าโครงการนี้รัฐบาลมอบให้การรถไฟฯรับผิดชอบในการกำกับดูแลและส่งมอบพื้นที่เพียงเท่านั้น การรถไฟฯแทบจะไม่มีสิทธิมีเสียงในการโต้แย้งแต่ประการใด
ดังนั้นความรับผิดชอบที่จะเกิดขึ้นหลังจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจะปล่อยให้การรถไฟฯรับผิดชอบเพียงลำพังคงไม่เป็นธรรมต่อการรถไฟฯ และพนักงานการรถไฟฯ โดย สร.รฟท.ไม่เห็นด้วยที่จะผลักภาระให้แก่การรถไฟฯและเชื่อว่าสมาชิก พนักงานและครอบครัว “คนรถไฟ”คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนและเชื่อว่าประชาชนที่รักความเป็นธรรมคงไม่เห็นด้วยเช่นกันคงต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่ง สร.รฟท.มีหลักการ จุดยืนที่แจ่มชัดในการปกป้องผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน โดยจะทำหน้าที่นี้ต่อไปจนถึงที่สุด
ประการต่อมาบทเรียนจากความเสียหายที่รัฐพ่ายแพ้ต่อเอกชนที่ลงทุนในโครงการต่างๆจากความบกพร่อง ความไม่รอบคอบในสัญญาและอื่นๆทั้งเจตนาและไม่เจตนาก่อนหน้านี้มูลค่านับหลายล้านล้านบาทแสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสของโครงการต่างๆและขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคมจากกรณีของโครงการโฮปเวลล์ ถึงเวลาที่จะต้องทบทวนในโครงการของรัฐที่ให้สัมปทานแก่เอกชน ซึ่งขณะนี้ยังมีอีกหลายโครงการ
ดังนั้นข้อเสนอของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.)คือ
1.ความเสียหายจากคำพิพากษาประมาณ 58,000 ล้านบาท รัฐบาลต้องหาทางออกว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติน้อยที่สุด และยังมีความเสียหายที่การรถไฟฯ ได้เรียกร้องจากบริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย)จำกัด จากการสูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการและสูญเสียโอกาสจากการพัฒนาที่ดินเป็นจำนวนเงินประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เงื่อนไขนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อการรถไฟฯและประเทศชาติได้อย่างไร
ประกอบกับกรณีอื่นๆที่เอกชนฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายต่อรัฐอย่างเช่นกรณีโครงการระบบบำบัดน้ำเสีย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ ได้มีการรื้อฟื้นคดีเมื่อปี พ.ศ. 2559โดยรัฐบาลปัจจุบันเพื่อพิจารณาในรายละเอียดใหม่ จนมีการชะลอการบังคับคดี และอีกโครงการหนึ่งคือโครงการก่อสร้างทางยกระดับตะวันออกหรือ บูรพาวิถี ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ซึ่งเอกชนเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐประมาณ 9,600ล้านบาทมีกระบวนการขั้นตอนในการต่อสู้คดีจนในที่สุดเมื่อปี 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ กทพ.ชนะคดีไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่บริษัทเอกชน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรนำมาศึกษาเทียบเคียง แน่นอนว่า คำพิพากษาของศาลต้องปฏิบัติตามแต่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ละเอียดรอบคอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน
2.ขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการต่างๆที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยเฉพาะโครงการของรัฐบาลให้เอกชนร่วมลงทุนในหน่วยงานต่างๆและโครงการที่มอบหมายให้การรถไฟฯเป็นผู้กำกับดูแลในขณะนี้ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแบบไร้รอยต่อ(ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ซึ่งลักษณะโครงการไม่แตกต่างจากโฮปเวลล์มากนัก
กล่าวคือ โครงการนี้มูลค่าโครงการประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยรัฐร่วมลงทุนเกินกว่า 50% และงบประมาณที่เหลือให้เอกชนไปหาแหล่งเงินทุนเอง แลกกับการพัฒนาที่ดินมักกะสันของการรถไฟฯ 150 ไร่ สถานีศรีราชาอีกประมาณ 25ไร่ และที่ดินสองข้างทางของโครงการ รวมทั้งจัดเก็บรายได้เอง อายุสัมปทาน 50 ปีและอาจต่อสัญญาเป็น 99 ปีซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาให้ได้ข้อยุติที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน และโครงการดังกล่าวก็ยังไม่ผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) และที่สำคัญ คือ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ซึ่งก่อนหน้านี้ สร.รฟท.พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาชนได้แถลงข่าวไปแล้วเพื่อให้มีการทบทวนโครงการ และให้รัฐบาลโดยการรถไฟฯดำเนินการในโครงการนี้เอง จะเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินอีกทั้งจะเป็นการเปิดพื้นที่สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่า
3.จากกรณีโฮปเวลล์นี้ ไม่ควรตั้งต้นว่าใครผิด ใครถูก โยนกันไปโยนกันมา ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอดจนอาจละเลยการแสวงหาทางออก ควรที่ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ส่วนการสืบสวนหาผู้กระทำผิดจะทำได้ไม่ได้ หรือจะกระทำกันอย่างไรก็เป็นอีกกระบวนการหนึ่ง เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายของประเทศชาติซึ่งเกี่ยวพันกับประชาชนโดยตรง จึงต้องแสวงหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน
4.ประการสุดท้ายจากกรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกัน และต้องไม่ปล่อยให้ความเสียหายในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ประชาชนต้องตื่นรู้ ต้องร่วมกันตรวจสอบ และรัฐบาลต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ และประชาชน
chokhd เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ. ถุย. สุดท้ายก็เอาเงินภาษีจ่าย แล้วใครที่ก่อให้เกิดปัญหาละมันอยู่ไหนทำไมไม่มีการสืบสวนตามมารับผิดชอบ. ความผิดโยนกันไปมา. มันต้องมีคนผิดซิ สืบมาซิ คนที่มีหน้าทีทำอะไรอยู่. ปปทมันหลับหรือไง. ไม่ทำงานก็ลาออกไป
ยุบหน่อยงานด้วย เปลืองภาษีประชาชน จ้างแล้วก็ทำอะไรไม่ได้. ค...
24 เม.ย. 2562 เวลา 15.37 น.
Rong ไปเอากับไอ้เทือกโน้น มันเป็นคนบอกเลิกสัญญา ในสมัย ชวน 2
24 เม.ย. 2562 เวลา 16.00 น.
PUnakhonbelieve อย่าโยนขี้ให้ประชาชน สหภาพนี่เกษียรทีรับเงินรวยๆทั้งนั้น เมื่อไม่โปร่งใส่แต่แรกทำเรื่องค้านได้ ทำไมไม่ค้านเมื่อ30ปีที่แล้ว แล้วที่ดินรถไฟทั่วประเทศไม่คิดจะทำให้เป็นระบบ ข่าวออกเค้าสั่งให้สรุปรายได้ค่าเช่าที่ดินว่าไง ยุบแล้วให้เอกชนทำเถอะ
24 เม.ย. 2562 เวลา 18.20 น.
ทวีศักดิ์ ศรีมหาพรม ทั้งเสาต่อม่อโฮปเวล ทั้งเสาโรงพักตำรวจทั่วประเทศ และอีกหลายๆโครงการฯ ปชป. บริหารงานใด้แย่มากๆ และนี่ไอ้เทพ คนดีที่สุดในสามโลก ทำเจ๊งอีกแล้ว จะรอดูจะมีหน่วยงานไหนเอาผิดมัน
24 เม.ย. 2562 เวลา 18.25 น.
N o-o M สุดท้ายก็ภาษีของประชาชนที่นำมาจ่าย ไม่ต้องโยนไปโยนมาหรอกครับอายุสัมปทานที่ยาวนาน ถ้ารถไฟจะคัดค้านก็ทำได้เสมอ แต่ไม่ทำ สุดท้ายเกิดเหตุบอกไม่เกี่ยว หน่วยงานนี้จึงไม่พัฒนา มีงบไปดูงานที่ต่างประเทศทุกปี แต่ไม่นำกลับมาพัฒนา ติดอะไรตรงไหน ทำให้เป็นข่าวใหญ่สิครับ ประชาชนรอช่วยอยู่ครับ ไม่ใช่นิ่งเงียบแล้วสุดท้ายมาบอกว่าไม่เกี่ยวครับ
24 เม.ย. 2562 เวลา 19.01 น.
ดูทั้งหมด