หุ้น การลงทุน

“ประกันสุขภาพเด็กแรกเกิด”...ของขวัญล้ำค่าจากพ่อแม่ !!!

Wealthy Thai
อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 มี.ค. เวลา 02.57 น. • นิชฌานี ฉันทศาสตร์

Wealth EZ: “คุณพ่อคุณแม่” ย่อมต้องการให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บได้ ทำได้เพียงบรรเทาความเสียหายหรือแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นด้วยการทำ “ประกันสุขภาพ”

เหตุผลที่ “ประกันสุขภาพ” ควรเป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับ “เด็กแรกเกิด”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
  • เด็กเล็กมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย ยิ่งปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นมากมาย หรือมีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เช่น ไข้หวัด หรือโรดระบาดล่าสุดที่เกิดขึ้นอย่าง COVID-19 ที่มีสายพันธุ์มากมาย

  • เด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด ไม่สามารถบอกได้ว่า ตนเองเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ต้องอาศัยการสังเกตจากคุณพ่อคุณแม่ หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ เป็นไข้ตัวร้อน อาจซื้อยารับประทานเองได้ แต่หากเจ็บป่วยหนักหรือร้ายแรงกว่านั้น ต้องอาศัยการวินิจฉัยของคุณหมอหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้น เมื่อพบสาเหตุแต่เนิ่นๆ

  • สร้างความคุ้มครองตั้งแต่แรกเกิด ยิ่งทำประกันสุขภาพเร็ว ลูกยิ่งมีความคุ้มครองเร็ว หากรอให้ลูกโตหรือเข้าโรงเรียนก่อน ระหว่างนี้ลูกเจ็บป่วยหนัก อยากทำประกันสุขภาพ อาจทำไม่ได้ หรือทำได้ แต่ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน หรือต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น

  • ค่ารักษาพยาบาลไม่ใช่ถูกๆ หากไม่ได้ทำประกันสุขภาพ และไม่ได้มีเงินก้อนสำรองไว้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอาจกระทบการเงินของครอบครัว หรือแผนการเงินอื่นที่คุณพ่อคุณแม่เตรียมไว้ให้ลูกน้อยก็เป็นได้

เลือก “ประกันสุขภาพ” ให้ลูกน้อย ให้ “อุ่นใจ” และ “คุ้มค่า” ที่สุด

  • วงเงินคุ้มครองที่ต้องการ

“ประกันสุขภาพ” จะกำหนดความคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง ยิ่งวงเงินสูง ค่าเบี้ยประกันก็ยิ่งสูงตาม จึงควรเลือกวงเงินคุ้มครองที่มองว่าเพียงพอ รวมถึงต้องพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน
ทั้งนี้ หากแบ่งประกันสุขภาพตามความครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล อาจแบ่งเป็น 2 แบบ คือ “แบบเหมาจ่าย” และ “แบบแยกค่าใช้จ่าย”
ซึ่ง “แบบแยกค่าใช้จ่าย” จะกำหนดวงเงินคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง และวงเงินคุ้มครองค่ารักษาแต่ละรายการ เช่น ค่าห้อง ค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด หากรายการค่ารักษาใดเกินวงเงิน คุณพ่อคุณแม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างที่เกิดขึ้นของรายการนั้น ๆ
ขณะที่ “แบบเหมาจ่าย” จะกำหนดเพียงวงเงินคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง โดยไม่กำหนดวงเงินคุ้มครองค่ารักษาแต่ละรายการ หรือกำหนดเพียงบางรายการ เช่น ค่าห้อง
“เมื่อประกันแบบเหมาจ่ายมีโอกาสครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นมากกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าค่าเบี้ยประกันแบบเหมาจ่ายก็ย่อมสูงกว่า ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย โดยให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุด สามารถเลือกประกันแบบเหมาจ่าย โดยต้องยอมรับค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นได้”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
  • โอกาสเจ็บป่วยไม่สบายเล็กน้อย

โดยทั่วไป “ประกันสุขภาพ” จะให้ความคุ้มครองกรณี “ผู้ป่วยใน” (IPD) หรือการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับความคุ้มครองกรณี “ผู้ป่วยนอก” (OPD)หรือเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล คุณพ่อคุณแม่ต้องทำเพิ่มเติมหรือเลือกแบบประกันที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอกรวมอยู่ด้วย
ความคุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก จะกำหนดวงเงินคุ้มครองการรักษาแต่ละครั้ง เช่น สูงสุด 2,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งค่าหมอและค่ายากลับบ้านจะรวมอยู่ในวงเงินดังกล่าว รวมถึงกำหนดจำนวนครั้งของการรักษาต่อปี เช่น 30 ครั้งต่อปี
“หากคุณพ่อคุณแม่มองว่า ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย หรืออาจไม่รุนแรงถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล สามารถทำประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ ประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอกจะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าแบบที่มีผู้ป่วยในอย่างเดียว”

  • ความคุ้มครองสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่

บริษัทประกันบางแห่งจะมีส่วนลดเบี้ย “ประกันสุขภาพให้ครอบครัว” สำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่ และลูก รวมกันตั้งแต่ 2คนขึ้นไป เช่น ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน 5%
“คุณพ่อหรือคุณแม่ต้องพิจารณาว่ามีสวัสดิการจากแหล่งอื่นที่คุ้มครองสุขภาพหรือไม่ เช่น ความคุ้มครองสุขภาพกลุ่มของบริษัทที่ทำงาน ถ้าไม่มี หรือมีแต่อาจไม่เพียงพอ ก็สามารถทำ ‘ประกันสุขภาพแบบครอบครัว’ เพื่อให้มีความคุ้มครองครอบคลุม และได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อหรือคุณแม่อาจจ่ายเบี้ยประกันโดยรวมเพิ่มหลักหมื่น แต่ได้ความคุ้มครองสุขภาพให้ตนเองเพิ่มถึงหลักล้าน”

  • รูปแบบการทำ “ประกันสุขภาพ”

การทำ “ประกันสุขภาพ” สามารถเลือกทำ “แบบเดี่ยว” หมายถึง ทำเฉพาะประกันสุขภาพเท่านั้น และเลือกทำ “แบบพ่วง” หมายถึง ต้องทำประกันชีวิตก่อน จึงจะสามารถทำประกันสุขภาพแนบท้ายประกันชีวิต ถ้าเทียบค่าเบี้ยประกัน การซื้อประกันสุขภาพแบบเดี่ยวจะถูกกว่าเพราะไม่เสียค่าเบี้ยประกันชีวิต แต่โอกาสที่เบี้ยประกันจะสูงขึ้นในปีถัดๆ ไปก็จะมีมากกว่า เพราะถือเป็นประกันวินาศภัยที่การปรับขึ้นเบี้ยประกันในปีต่ออายุทำได้ง่ายกว่า
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะทำประกันสุขภาพ “แบบเดี่ยว” หรือ “แบบพ่วง” ก็สามารถเคลมหรือเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลได้ตามวงเงินคุ้มครองที่กำหนดหากทำประกันสุขภาพ “แบบพ่วง” คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกแบบประกันชีวิตให้ตอบโจทย์แผนการเงิน เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่เมื่อครบกำหนดสัญญา และชำระเบี้ยประกันครบตามเงื่อนไข จะมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินก้อน เพื่อเป็นทุนการศึกษา หรือเงินก้อนตั้งต้นชีวิตให้ลูก หรือประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ที่ให้ความคุ้มครองสูง คุ้มครองนานหลายปี ขณะที่เบี้ยประกันไม่แพง ซึ่งช่วยให้ลูกมีความคุ้มครองชีวิตยาวนานจนลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่
“ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเลือกประกันสุขภาพแบบไหนให้ลูก เรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจ นั่นคือ ข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง รวมถึงระยะเวลารอคอยหรือระยะเวลาที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง (Waiting Period) ซึ่งบริษัทประกันแต่ละแห่งจะกำหนดระยะเวลารอคอยแตกต่างกัน เช่น 15วัน 30วัน ดังนั้น ก่อนเลือกทำประกันสุขภาพให้ลูก ควรศึกษารายละเอียดให้ดี”
“ประกันสุขภาพ” เป็นสัญญาปีต่อปี และเบี้ยประกันจัดเป็นเบี้ยทิ้ง หมายถึง หากปีใดไม่มีการเคลมหรือเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ความคุ้มครองจะหมดไป ไม่มีเงินคืนให้ อาจมีเพียงส่วนลดค่าเบี้ยประกันให้ในปีถัดไป
ทั้งนี้ อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองว่า การทำ “ประกันสุขภาพ” ให้ลูกน้อย เสมือนการจ่ายเงินก้อนเล็ก เพื่อลดโอกาสจ่ายเงินก้อนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยก่อนทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย ควรพิจารณากำลังความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันว่าไม่เป็นภาระหนักจนเกินไป
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่LINE@cfpthailandและwww.tfpa.or.th

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดูข่าวต้นฉบับ