เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัวทีมนักวิจัย KEETA (กีฏะ) จากประเทศไทย เป็น 1 ใน 10 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบการแข่งขันเฟสแรก “โครงการพัฒนาระบบผลิตอาหารอัตโนมัติและครบวงจรสำหรับนักบินอวกาศ Deep Space Food Challenge” ว่า เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจที่ทีมนักวิจัย KEETA จากประเทศไทย เป็น 1 ใน 10 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบการแข่งขันเฟสแรก “โครงการพัฒนาระบบผลิตอาหารอัตโนมัติและครบวงจรสำหรับนักบินอวกาศ Deep Space Food Challenge” เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) และองค์การอวกาศแคนาดา (Canadian Space Agency) โดยมีโจทย์สุดท้าทายคือ ให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันสร้างระบบที่สามารถผลิตอาหารได้ในระยะยาว โดยไม่ต้องพึ่งการขนส่งไปเติมเพิ่ม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจเดินทางไป-กลับดาวอังคารของนักบินอวกาศ โดยมีเครือข่ายความร่วมมือจากสหสถาบันให้การสนับสนุน ประกอบด้วย สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกันนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้เตรียมพื้นที่ในอาคารวิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ไว้เป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านอวกาศร่วมกันในระดับนานาชาติ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ในอนาคต
ศ.ดร.พญ.จิรายุ เอื้อวรากุล คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ทีม KEETA ใช้จุดเด่นของวัฒนธรรมอาหารไทยอย่างโดยใช้ประโยชน์จากแมลงผสมผสานกับเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อสร้างระบบผลิตอาหารที่มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติตามต้องการ จนแนวคิดนี้ไปถูกใจคณะกรรมการและได้เป็น 1 ใน 9 ทีมที่ผ่านเข้าเฟส 2 ของรอบการแข่งขัน โดยในที่สุดจะมีการคัดเลือกเหลือ 3 ทีมสุดท้ายในต้นปี 2566 ดร.วเรศ จันทร์เจริญ และ ทีม KEETA (กีฏะ) ในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติสู่เวทีนานาชาติครั้งนี้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้ทำผลงานวิจัยที่นำไปพัฒนาต่อยอดและนำไปใช้ได้จริง
ด้าน ดร.วเรศ จันทร์เจริญ อาจารย์ประจำวิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และหัวหน้าทีม KEETA กล่าวว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายในรอบ 100 ปี ของการแข่งขันด้านอวกาศของนาซา โดยมีเป้าหมายคือกระตุ้นนวัตกรรมการวิจัยทั้งพื้นฐานและประยุกต์ การพัฒนาเทคโนโลยี หรือการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ขึ้น โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องผลิตอาหารสำหรับภารกิจทางอวกาศเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อเพียงพอต่อนักบินอวกาศ 4 คน โดยไม่มีเสบียงเพิ่ม ที่สำคัญคือใช้เวลาการเตรียมอาหารให้ ‘น้อย’ ที่สุด มีความปลอดภัย มีโภชนาการสูง เป็นมิตรกับอวกาศและบนโลกอย่างเสมอภาคกัน โดยความตั้งใจของทีม KEETA นอกจากเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว เราต้องการสร้างเทคโนโลยีทางอวกาศที่ใช้กินได้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นอาหารแต่ต้องสามารถสร้างรายได้ ทำให้เกิดธุรกิจต่อประเทศ หรือทำให้เกิดเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy หรือ Space Business) นั่นคือความตั้งใจหลักของทีม โดยจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) ในประเทศไทย เพื่อใช้กับภาคเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และภาควิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และถ้าเราชนะในเฟสที่สามต่อไปนั้น คนที่ได้ผลงานคือ คนทั้งประเทศ.