เรื่องสั้น

I'm a Monster ผมนี่แหละโคตรมอนสเตอร์

นิยาย Dek-D
อัพเดต 23 พ.ย. 2566 เวลา 07.00 น. • เผยแพร่ 23 พ.ย. 2566 เวลา 07.00 น. • Doctor เพี้ยน
ในชีวิตก่อนพวกคุณเอ็งรุมโต๊ะจีนเผ่าพันธุ์ของผมซะพ่ายแพ้ ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้อย่าหวังว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำลอยอีกเลย เพราะงวดนี้ผมมาพร้อมกับไผ่ตายและไม้เด็ดเพียบ เดี๋ยวจะเซอร์ไพรส์ให้ร้องจ๊ากเลย

ข้อมูลเบื้องต้น

I'm a Monster

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ผมนี่แหละโคตรมอนสเตอร์

ขึ้นชื่อว่าสงครามห้าทัพมันก็หมายความว่าทั้งก้ากองทัพต้องมาหวดกันให้ตายไปข้างหนึ่งสิถึงจะถูก แต่ไหงพวกพี่ถึงรวมหัวกันเป็นสี่ทัพแล้วมารุมโต๊ะจีนพวกผมแบบนี้ล่ะเฮ้ย!

แต่ไม่เป็นไร

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เพราะผู้นำกองทัพมอนสเตอร์ของผมเขามีไม้เด็ดไพ่ตายเตรียมเอาไว้โดยที่พวกพี่ไม่รู้

แน่นอนว่าผมเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน

เพราะมันคือการย้อนเวลากลับไปในอดีตก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น และเมื่อถึงตอนนี้ก็ขอบอกไว้เลย ‘ในชีวิตก่อนพวกคุณเอ็งรุมโต๊ะจีนเผ่าพันธุ์ของผมซะพ่ายแพ้ ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้อย่าหวังว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำลอยอีกเลย เพราะงวดนี้ผมมาพร้อมกับไผ่ตายและไม้เด็ดเพียบ เดี๋ยวจะเซอร์ไพรส์ให้ร้องจ๊ากเลย’

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

บทที่ 1 . บทสรุปของมหาสงคราม

ณ มหาพฤกษา

ต้นไม้ขนาดใหญ่พอๆ กับครึ่งหนึ่งของโลกตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาที่มองไกลๆ ช่างคล้ายกับเนินดินอันเขียวขจี พุ่มไม้ใหญ่ถูกรายล้อมไปด้วยละอองแสงสีทองที่โปรยปรายราวกับสายฝน อีกทั้งมวลพลังงานสีฟ้าที่อบอวลไปทั่วโคนต้นซึ่งเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ทุกคนเฝ้าฝันหา

ทว่าถัดจากภูเขาลูกดังกล่าวลงมาคือผืนน้ำที่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุท แต่ใครจะเชื้อบ้างว่าผืนน้ำแห่งนี้มีความลึกเพียงหนึ่งข้อนิ้วมือเท่านั้นและมันก็ใสเป็นอย่างมากจนสามารถมองเห็นพื้นด้านล่างที่เรียบรื่น แต่แล้วใต้ผิวน้ำที่เคยใสสะอาดนั้นเองกลับปรากฎมวลสีแดงซึ่งคือเลือดกำลังกระจายตัวไปทั่ว

ตูมมม!!

ก่อนจะตามมาด้วยการตกกระทบอย่างรุนแรงของร่างขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายกับงูยักษ์หากแต่มีครึ่งบนเป็นมนุษย์เพศหญิงสวมเกราะและมงกุฎสีแดงเพลิง ในมือของเธอคือค้อนสองหน้าที่ร้อนแรงไปด้วยลาวาหลอมเหลว หญิงสาวที่สวมหมวกเกราะประดับมงกฎยันตัวเองลุกขึ้นช้าๆ ด้วยความปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง

“หอกพิพากษา!!”

แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนดังก้องมาจากบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงสว่างจ้า พอหญิงสาวหันไปมองก็เห็นร่างของชายคนหนึ่งในชุดเกราะรัดรูปที่กำลังง้างหอกหัวแดงเพลิงเตรียมจะพุ่ง ที่ด้านหลังของเขายังปรากฎภาพของหอกพุ่งหัวลงกำลังเรืองแสงอยู่อันเป็นการบ่งบอกถึงสกิลที่ปลดปล่อยออกมาของฮันเตอร์ ก่อนที่หอกเล่มนั้นจะพุ่งทะยานลงมาหาหญิงสาวซึ่งเธอก็ไม่ยอมให้ถูกเล่นงานง่ายๆ จึงทำการใช้แรงเฮือกสุดท้ายเหวี่ยงค้อนหมายทำลายการโจมตีของศัตรู

เพล้งงง!!

ทว่าค้อนของเธอมันผ่านการศึกมาอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งทำให้เกิดการชำรุดเสียหายอย่างหนักมาก่อนหน้า มาตอนนี้พอปะทะกับหอกของอีกฝ่ายมันจึงถูกทำลายลงคามือและปล่อยให้หอกเล่มนั้นแทงทะลุร่างของหญิงสาวจนเธอตาเหลือกค้างอยู่อย่างนั้น ร่างของชายหนุ่มลงมาบนพื้นน้ำข้างร่างของศัตรูที่เป็นมอนสเตอร์แล้วดึงออกของเขาออกอย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกันทางด้านหลังของเขาร่างของชายหญิงในชุดเกราะกึ่งผ้าคลุมนับหลายสิบกำลังปลิวไปในทิศทางเดียวกัน จากแรงปะทะของมอนสเตอร์อีกตัวที่คราวนี้เป็นถึงคิงคองเกราะหินตัวใหญ่ มันวาดมือของตัวเองใช่พวกที่กำลังวิ่งเข้าหาพร้อมกับอาวุธในมือจนคนพวกนั้นที่มีทั้งฮันเตอร์และเพลเยอร์เลเวลต่ำกว่าปลิวไปคนละทิศละทาง

ก่อนที่ชายหนุ่มผมยาวประคอสีน้ำเงินเข้มสวมชุดคลุมสีขาวลายฟ้าจะเดินออกมา เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งเก็บนิ้วก้อยและนิ้วนางเหลือไว้เพียงนิ้วโป้ง ชี้ และกลางที่ยังชูอยู่ ทันใดนั้นรอบตัวของชายหนุ่มก็เกิดมวลควันกึ่งพลังงานขึ้นห้อมล้อม

“อาคมพันธนาการ…”ชายหนุ่มยกมือข้างนั้นขึ้นชู แล้วทันใดนั้นรอบๆ บริเวณที่คิงคองร่างใหญ่ยืนอยู่ก็ปรากฎมวลน้ำวนหลายจุด ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะบัดมือที่ชูลงไปไว้ข้างตัวพร้อมกล่าวเสียงดัง”โซ่ตรึงกายา เชือกตรึงวิญญาณ!”

สิ้นเสียงของเขาโซ่ที่มีหนามเส้นขนาดใหญ่สีดำก็พุ่งออกมาจากมวลนั้นและเข้ารัดลำตัวของคิงคองร่างใหญ่ก่อน ตามด้วยคอ แขนทั้งสองข้าง ข้อมือ ขา และข้อเท้า ก่อนจะตามมาด้วยเชือกสีฟ้าดูราวกับมวลควันที่เรืองแสงได้นิดหน่อย มันพุ่งออกมาจากมวลน้ำวนแล้วตรงเข้าไปใช้ปลายที่เป็นตาขาสองงั่งเกี่ยวเข้ารอบตัวของคิงคองร่างใหญ่ แต่สิ่งที่มันยึดเอาไว้กลับไม่ใช่กายเนื้อหากแต่เป็นวิญญาณภายในที่ผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาให้เห็นหลังจากนั้น

แล้วหญิงสาวในชุดคลุมดำขลิบแดงมีเรือนผมยาวสีม่วงเข้มก็ปรากฎตัวที่ด้านหน้าของคิงคองร่างใหญ่ ในมือของเธอคือหุ่นฟางที่มีเส้นขนบนตัวของคิงคองถูกนำมาใส่ไว้ เพียงแค่เห็นเจ้าร่างใหญ่ก็ส่งเสียงคำรามและพยายามจะใช้พละกำลังทำลายพันธนาการหากแต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากวิญยาณของมันถูกตรึงเอาไว้ทำให้ร่างไม่สามารถขยับได้ตามใจนึก ก่อนที่หญิงสาวจะดึงตะปูออกมาจากกระเป๋ามิติและใส่อาคมลงไปทำให้ตะปู 1 นิ้วสีดำที่มีคราบสนิทติดอยู่จะถูกอาบไปด้วยมวลพลังงานสีเขียวอมฟ้า

“อาคมคำสาป หุ่นฟางตัวแทน!”

พอสิ้นเสียงเธอก็ใช้ตะปูดอกแรกแทงลงไปบนขาซ้ายของหุ่นฟาง ทันใดนั้นที่ขายซ้ายของเจ้าคิงคองก็ปรากฎบาดแผลถูกแทงขนาดใหญ่ทำเอาเลือดของมันพุ่งกระฉูดออกมาสร้างความเจ็บปวดให้กับมันเป็นอย่างมาก และตามมาด้วยตะปูดอกที่สองแทงที่ขาขวาของหุ่นฟาง ร่างของเจ้าคิงคองทรุดลงกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมกับเลือดที่ไหลออกและเสียงร้องคำรามแห่งความทรมาณ ตะปูดอกที่สามแทงลงที่กลางหน้าอกคราวนี้คิงคองร่างใหญ่ถึงกับตัวงอส่งเสียงร้องไม่ออก และในตอนที่มันพยายามเงยหน้ามองก็พบว่าตะปูดอกสุดท้ายกำลังจ่ออยู่ตรงใบหน้าของหุ่นฟาง มันกำลังจะร้องคำรามแต่ตะปูดอกดังกล่าวถูกแทงจนทะลุหัวของหุ่นฟาง ทันใดนั้นหัวของคิงคองร่างใหญ่ก็เป็นหันเกิดรูขนาดใหญ่จนเลือดและชิ้นส่วนด้านในกระเด็นออกมา

ตึม!!

เสียงร่างสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำและเกราะหินสีเทาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง หญิงสาวแสยะยิ้มกับผลงานตัวเองและในตอนนั้นหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างของเหล่ามอนสเตอร์ทั้งกระทิงศิลา แรดอัศนี อสรพิษพฤกษา ด้วงนักฆ่า ตั๊กแตนภูเขาไฟกำลังปลิวขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างที่เล็กกว่าพวกมันพุ่งทะยานตามขึ้นไป

“วิถีดาบปราบปีศาจที่ 3 ดาบผ่าโลกันต์! สะบั้นโลกา!!”

ร่างของชายที่มีหุ่นล่ำสันอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเปลือยท่อนบนส่วนท่อนล่างสวมกางเกง เขาใช้ดาบใหญ่สีดำมีลวดลายบนใบดาบสีทองวาดไปบนท้องฟ้าที่มีเป้าหมายคือเหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดที่เพื่อนส่งขึ้นมาให้ เพียงการฟันผ่านอากาศครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดเส้นสีทองนับร้อยนับพันปรากฎพร้อมๆ กันพาดไปตามร่างของมอนสเตอร์เหล่านั้นจนร่างของพวกมันขาดออกเป็นชิ้นๆ ราวกับเนื้อที่ถูกผ่า

ไรเดอร์หนุ่มผู้ถือครองทักษะดาบลงมายืนบนพื้นและหันหลังให้พวกชิ้นเนื้อที่ทะยอยตกลงมาสู่ผืนน้ำจนเกิดมวลน้ำสาดซัดออกไปเป็นวงกว้าง เลือดจำนวนมหาศาลอาบย้อมน้ำสีใสจนแดงฉานราวกับทะเลโลหิต แต่ก่อนที่ไรเดอร์หนุ่มจะมุ่งหน้าไปหาเป้าหมายรายต่อไป จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างปลิวผ่านด้านหน้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว พอหันไปมองยังสิ่งนั้นก็พบว่าเป็นร่างของเพลเยอร์คนหนึ่ง และเมื่อหันไปหาต้นเหตุก็พบกับเหล่าเพลเยอร์นับร้อยกำลังเข้าปะทะกับมอนสเตอร์อีกเกือบร้อยที่มีขนาดตัวไม่ใช่น้อยๆ เลย

แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปร่วมแจมวงแหวนเวทย์สีม่วงก็เป็นอันปรากฎในแนวตั้งเหนือผืนน้ำเพียงหนึ่งนิ้ว จากนั้นมวลไฟสีดำอมม่วงก็พวยพุ่งออกมาพร้อมควันดำแผดเผาเหล่ามอนสเตอร์จนไหม้เกรียมในพริบตา หากแต่กลับมีมอนสเตอร์บางตัวต้านทานได้พวกมันยังสะบัดหางสะบัดหัวทำลายมวลไฟพวกนั้นจนวงแหวนแตกยับ แต่กลับไม่จบง่ายๆ เพราะบนท้องฟ้ามันปรากฎวงแหวนเวทย์สีทองอีกที คราวนี้เป็นวงแหวนเวทย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก

เหล่าเพลเยอร์ที่เห็นแบบนั้นรีบพากันพุ่งตัวออกจากบริเวณใต้วงแหวน เหล่ามอนสเตอร์ที่ยังเหลือรอดเงยหน้ามองขณะกัดฟันกรอด ก่อนที่เสียงของหญิงสาวในชุดเกราะทองถือดาบใหญ่สีเงินคล้ำขอบทองที่กำลังยกมันขึ้นฟ้าจะชี้ลงมาหา แล้วดาบขนาดมหึมาต่างรูปลักษณ์ก็พุ่งออกจากวงแหวนเวทย์เข้าใส่กลุ่มมอนสเตอร์ที่เหลือ เกิดเสียงดังอึกทึกและพื้นใต้ร่างกับผืนน้ำเบื้องบนสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นน้ำอันแสนบ้าคลั่งสาดซัดไปทั่ว

มันคือมหาสงครามเป็นสงคราม 5 เผ่าพันธุ์ที่มาเกิดขึ้นหน้าสถานที่ๆ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็ต้องการจะครอบครอง เพียงแต่มันดันเกิดเรื่องไม่น่าเชื่อขึ้นมาเพราะจู่ๆ 4 ใน 5 เผ่าพันธุ์เกิดร่วมมือกันและหันมาเล่นงานเผ่าพันธุ์เดียว

เผ่าพันธุ์มอนสเตอร์

ก้านไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเพราะเท่าที่เขาศึกษามาทั้ง 5 เผ่าพันธุ์ไม่ถูกกันมานานมากแล้ว เขาที่พอได้มาเป็นมอนสเตอร์ก็พบว่าทุกเผ่าพันธุ์ล้วนฆ่าฟันกันมาก่อนหน้านั้นอีก แต่ชายหนุ่มในวัย 177 ปีใช้ความรู้ที่มีวิเคราะห์คร่าวๆ ว่าพวกเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 อาจจะไปตกลงอะไรบางอย่างกันเอาไว้ก่อนหน้านั้น อีกทั้งเพราะนี่เป็นมหาสงครามจึงทำให้มอนสเตอร์ระดับสูงหายากมารวมตัวด้วย และมันก็เป็นโอกาศอันดีที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ จะสามารถหาชิ้นส่วนหายากเพื่อนะไปใช้งานได้

ไม่ว่าจะไรเดอร์ที่ต้องการจิตวิญญาณมอนสเตอร์เพื่อใช้กับทักษะ ฮันเตอร์ที่ต้องการชิ้นส่วนต่างๆ ไปสร้างอุปกรณ์ทั้งอาวุธและชุดเกราะ เพลเยอร์ที่ต้องการชิ้นส่วนภายนอกที่สำคัญไปทำไอเทม หรือดรูอิคที่ต้องการชิ้นส่วนภายในไปประกอบพิธีกรรมทำโทเทม ดังนั้นมันจึงออกมาเป็นคำตอบว่าทำไมทุกๆ เผ่าพันธุ์ถึงหันมารุมเล่นงานมอนสเตอร์อย่างพวกเขา

สำหรับก้านเขาเป็นมอนสเตอร์ประเภทหมาป่าสายพันธุ์วาลีมาโดยตลอด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ต่อสู้จนชำนาญอะไรและความสามารถของเขาส่วนใหญ่มันก็ไปในทางวิชาการเสียมากกว่า ทำให้พอมาเข้าร่วมสงครามเขาจึงเป็นเสมือนหน่วยวางแผนและสนับสนุนซึ่งตอนนี้แทบจะไม่มีประโยชน์แล้วเพราะศัตรูร่วมมือกันและฝ่ายเขาก็สูญเสียกำลังรบสำคัญไปเยอะมาก

ยามเมื่อหมาป่าหนุ่มที่บาดเจ็บอย่างหนักและกำลังนอนอยู่บนผืนน้ำมองไปบนท้องฟ้า เขาได้เห็น 4 มังกรธาตุและ 3 นกวิเศษกำลังต่อสู้อยู่กับผู้นำกองทัพของเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 อย่างดุเดือด ก้านก็รู้แล้วว่าเวลาแห่งการปราชัยได้มาถึงเผ่าพันธุ์ของเขาแล้ว เพราะแผนเดิมที่วางไว้คือพวกมังกรและนกวิเศษจะต้องไปอยู่ที่มหาพฤกษา และบนท้องฟ้าต้องเป็นหน้าที่ของมอนสเตอร์ที่บินได้และแข็งแกร่งคนอื่น

พอมองไปยังภูเขาใต้โคนต้นมหาพฤกษาเขายังพบกับเหล่าแมลงยักษ์ พยักฆ์ธาตุ และมอนสเตอร์ตัวใหญ่ๆ มากมายกำลังล้มตายเป็นจำนวนมากซึ่งมันผิดแผน เพราะจริงๆ พวกเขาเหล่านั้นต้องมาอยู่บนสนามรบเบื้องล่างเพื่อต้านทานไม่ให้เหล่าศัตรูบุกขึ้นไปได้ แต่เพราะเผ่าพันธุ์ทั้ง 4 ต้อนพวกเขาขึ้นไปและจำกัดพื้นที่เพื่อล้อมฆ่ามันจึงทำให้เกิดการผิดแผนครั้งใหญ่อีก

ไม่ต้องพูดถึงกำลังพลมอนสเตอร์อื่นๆ เลยเพราะตอนนี้คือช่วงเวลาตัวใครตัวมัน ทุกๆ คนต่างสู้แต่ไม่ใช่เพื่อให้ชนะเพราะพวกเขาต่างสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดออกไป แต่กำลังพลที่มีเพียง 1 หรือจะไปสู้กำลังพลที่มีถึง 4 ได้

อ๊ากกกก!!

เสียงของมังกรเหมันต์หวีดลั่นขณะร่วงจากท้องฟ้าลงมา ก้านมองร่างที่ยาวเหยียดคลุมไปด้วยเกร็ดสีเขียวมรกตตกกระแทกพื้นจนเกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงชนิดที่ว่าเขาอยู่ไกลหลายกิโลเมตรยังกระเด็นกระดอนและถูกคลื่นน้ำซัดออกไปไกลอีก ตอนนี้ก้านไม่มีแม้แต่แรงที่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยใจที่หดหู่

จนเมื่อแสงสีแดงเฉิดฉายกระจายไปทั่วท้องฟ้าทำให้สายตาของก้านเหลือบไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นทะเลเพลิงที่สาดซัดไปทั่วท้องฟ้าปลดปล่อยคลื่นความร้อนแผดเผาหมู่เมฆและมวลพลังอื่นๆ ที่จะเขาไปหาจนหายเกลี้ยง ก่อนที่ร่างซึ่งสยายปีกและกรีดเส้นหางทั้งเก้าจะพุ่งทะยานราวกับจรวดมุ่งตรงไปหาต้นมหาพฤกษา โดยที่ด้านหลังยังเหลือนกวิเศษอีกตัวที่กำลังห่อปีกกับตัวและปลอดปล่อยคลื่นไอเย็นออกมาห้อมล้อมเอาไว้

นกวิเศษตัวที่สามสยายปีกและพุ่งขึ้นไปสูงอีกก่อนจะระเบิดสายฟ้าอันบ้าคลั่งออกมาผ่าใส่เหล่าศัตรูจนต้องหนีหลบกันลงมายังเบื้องล่าง พวกศัตรูยังไม่เลิกลาเพราะคาดเดาการกระทำของพวกมอนสเตอร์เหล่านั้นได้ พวกเขาจึงใช้ทุกอย่างออกไปทั้งหมดพร้อมๆ กันเพื่อป้องกันสายฟ้า ทำลายไข่น้ำแข็ง และหยุดการพุ่งเข้าหาต้นมหาพฤกษา

ทักษะอันแสนร้ายกาจ สกิลที่รุนแรง เวทย์ที่ยิ่งใหญ่ และอาคมอันแสนร้ายกาจ ความสามารถทั้งสี่ถูกระเบิดออกมาจากเหล่าผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีกันหลักพันคนพร้อมๆ กัน ทำให้บนท้องฟ้าเกิดแสงสว่างจ้าและเสียงที่เงียบหายไปราวกับก้านหูดับไปชั่วขณะ

รู้ตัวอึกทีก็มีแรงกดทับอันมหาศาลดันร่างของเขาให้แนบชิดไปกับพื้นเบื้องล่าง จนชายหนุ่มในร่างหมาป่าคายเลือดก้อนใหญ่ออกมาเพราะทนรับแรงกดทับนี้ไม่ไหวและรู้สึกใกล้จะตายเต็มทน มันทรมาณเป็นอย่างมากจนเขาไม่รู้ว่าการที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้มันจะสบายเท่ากับการที่ตนตายไปเลยไหม

ตึง!! ตูม!!!

เสียงตกกระทบพื้นของร่างทั้งสองทำให้ก้านได้สติ เขามองไปยังต้นเสียงที่ตอนนี้แสงสว่างบนท้องฟ้ากำลังลดลงจนเห็นมวลไฟและคลื่นพลังเวทย์มากมายกำลังกระจายตัวไปทั่วท้องฟ้า ร่างของนกวิเศษทั้งสองกำลังนอนนิ่งโดยที่สีขนของพวกเขากำลังหม่นลงเรื่อยๆ

ตึง!!!

ตามมาด้วยอีกร่างที่ตกลงมากระแทกพื้นที่ด้านหลังของก้าน คราวนี้แรงกระแทกมันซัดทุกอย่างออกไปจนร่างของก้านปลิวไปอัดกับส่วนปีกของนกวิเศษตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อินทรีย์เพลิง’ ที่ถือเป็นหนึ่งในมอนสเตอร์ระดับสูงอยู่ในตำแหน่งผู้นำอันดับต้นๆ ของกองทัพมอนสเตอร์ ส่วนร่างที่หล่นลงมาเมื่อครู่คือมังกรอีกตัวที่หัวหายไปอยู่กับฮันเตอร์คนหนึ่งแล้ว

หมับ!

ในตอนนั้นเองร่างของก้านถูกจับและยกหิ้วขึ้นสูง มันคือฝีมือของไรเดอร์หนุ่มใช้ขวานลวดลายมังกรคนหนึ่ง เขาทำเหมือนกำลังหยิบขยะชิ้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะโยนทิ้งซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะตัวของก้านไม่มีค่าเมื่อเทียบกับอินทรีย์เพลิงตรงหน้าและฟินิกส์น้ำแข็ง

แต่ว่าในตอนที่ก้านกำลังจะถูกโยนทิ้งไปไกลๆ เขาหูดับก็จริงทว่าสายตายังดี เขาได้เห็นว่าอินทรีย์เพลิงกำลังลืมตาที่แทบจะปิดลงมองมายังเขา ในดวงตาคู่นั้นดูหดหู่และสิ้นหวังเป็นอย่างมากก่อนที่จะฉายแววเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก้านไม่ได้ยินเสียงคนตะโกนยามเมื่ออินทรีย์เพลิงเรียกวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาคาบไว้ที่ปลายจะงอยปาก แต่เขาที่เป็นมอนสเตอร์สายค้นคว้าและนักวิชาการรู้ว่ามันคืออะไร

[ทำการเปิดใช้เพท ‘ นาฬิกาทรายย้อนกาล’ แล้ว]

มันคือเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นหลังนาฬิกาทรายย้อนกาลจะถูกกัดให้แตก แล้วช่วงเวลาทุกอย่างก็ช้าลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นหยุดนิ่งไปทั้งหมด

วิ๊งงง~

วงแหวนสามวงซ้อนกันปรากฎขึ้นเหนือท้องฟ้าตรงจุดที่อินทรีย์เพลิงอยู่ ก่อนที่วงแหวนทั้งสามจะแยกออกและค่อยๆ ลอยลงมาบนพื้นซ้อนกันเป็นสามชั้นครอบคลุมทั้งมอนสเตอร์ ฮันเตอร์ เพลเยอร์ ไรเดอร์ และดรูอิคซึ่งมีอยู่รวมกันประมาณหลักร้อยคนได้ แล้วหลังจากนั้นก็เกิดอุโมงค์มิติใต้พื้นในบริเวณที่วงแหวนครอบอยู่ ร่างของทั้งหมดในอาณาเขตของวงแหวนร่วงลงไปในอุโมงค์ดังกล่าว

และนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ก้านจำได้ก่อนที่ภาพจะตัดลง

..

.

เฮือก!!!

บทที่ 2 . ย้อนเวลาแล้วมาแย่งชิง

ก้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับว่าตัวเองนั้นได้ฝันร้าย หน้าผากและเรือนผมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดราวกับดอกเห็ดหน้าฝนก็ไม่ปาน ก่อนที่เด็กหนุ่มในวัย 15 ปีจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยอาการมึนงงสับสนและพบว่าเขากำลังนั่งอยู่บนรถโดยสารที่จะเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดที่เต็มไปด้วยผู้โดยสาร

เขาหอบหายใจอยู่ซักพักและตั้งสติก่อนจะคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วมาวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ คำตอบที่ได้ก็คือเขาถูกย้อนเวลามาในอดีตเป็นที่เรียบร้อยและหากจำไม่ผิดจริงๆ ช่วงเวลาที่เขาย้อนมามันเป็นช่วงเวลาก่อนจะเกิดเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของโลก มองดูนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 09.33 น.

แต่ในความตื่นตกใจก็ยังมีความรู้สึกดีใจปรากฎออกมา ตอนนี้เขาได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้งและมันเป็นช่วงเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง หากเขาวางแผนให้ดีๆ ใช้ความรู้ ความสามารถ ความทรงจำ ก้านเชื่อว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาได้แต่เมื่อลองคิดกลับกันเขาไม่ได้ย้อนเวลากลับมาคนเดียว เพราะภาพสุดท้ายที่ก้านได้เห็นในช่วงที่เวลาหยุดลงมันมีมอนสเตอร์ ฮันเตอร์ เพลเยอร์ ไรเดอร์ และดรูอิคอีกจำนวนมากที่ก็ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน

นั่นก็แปลว่าไม่ใช่แค่เขาที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองแต่คนอื่นๆ ก็จะทำด้วย และมันจะไม่ใช่แค่การแย่งกันเปลี่ยนเส้นชะตาชีวิตแต่มันจะกลายเป็นการแข่งขันว่าใครจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากันที่ต้นมหาพฤกษา นี่จะเป็นโอกาศครั้งสุดท้ายของทุกๆ คนเพราะสิ่งที่จะใช้ย้อนเวลาได้นั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว

ทำให้ก้านใช้เวลาตลอดการนั่งรถใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อทบทวนทุกๆ ความทรงจำ ทุกข้อมูล ทุกรายละเอียดที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ในความทรงจำเพื่อนำมันมาใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุด และเป้าหมายแรกของเขาในตอนนี้ก็คือเตรียมการรับมือเหตุการณ์ใหญ่เหตุการณ์แรกที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของโลกไปตลอดกาล

รถโดยสารมาจอดเทียบที่สถานีขนส่งประจำจังหวัดที่มีผู้คนคราคร่ำ ก้านจำได้ว่าในชีวิตก่อนสาเหตุที่เขาเข้ามาในตัวเมืองของจังหวัดก็เพื่อที่จะมาดูภาพยนต์ในโรงหนัง แต่พอก้าวลงมาจากรถแทนที่เด็กหนุ่มจะไปยังโรงหนังเขากลับเดินตรงเข้าไปในสถานีตรงตู้ซื้อตั๋วรถทัวร์

“กรุงเทพหนึ่งที่ครับ”

พอจ่ายเงินเสร็จสรรพก้านก็เดินมายังตู้กดเงินใกล้กับร้านขายขนมและเครื่องดื่ม เขาเอาบัตรเอทีเอมออกมาและกดเงินจากตู้เป็นจำนวนกว่า 5,000 บาทก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าแล้วกลับเข้ามานั่งรอรถ

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

ก้านลงรถที่หมอชิตก่อนจะต่อแท็กซี่จากสถานีมุ่งหน้าเข้าสู่ในเมือง เป้าหมายของเขาคือห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่มักมีผู้คนมากมายเดินทางไปกัน พอมาถึงก็เป็นเวลาเย็นมากแล้วและก้านก็รู้สึกอ่อนเพลียจากการนั่งรถติดต่อกันจนแทบจะไม่ได้พักเป็นอย่างมาก หากแต่เขายังไม่สามารถที่จะพักได้เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้เรื่องที่เขารอคอยกำลังจะเกิด

เด็กหนุ่มที่แต่งตัวค่อนข้างจะเรียบง่ายไม่สะดุดตาบวกกับหน้าตาที่ออกไปทางบ้านๆ จึงไม่เป็นที่สนใจ เขานั่งลงตรงสวนหน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งมีวัยรุ่นมากมายกำลังนั่งเล่นกันอยู่ ท่ามกลางเสียงพูดคุย รถรา ดนตรี และอื่นๆ ที่แย่งกันดังรอบตัว ก้านมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว

‘มาแล้ว’

แม้จะไม่เห็นแต่จากประวัติที่ศึกษามาอย่างละเอียดในชีวิตก่อน ตอนนี้กำลังมีสิ่งที่ดูคล้ายดาวหางจากนอกโลกเดินทางมาถึงโลกและกำลังตกลงสู่ทะเลแปซิฟิก และสาเหตุที่ยังไม่มีการรายงานข่าวอะไรเพราะไอ้เจ้าวัตถุดังกล่าวมันไม่ถูกตรวจจับด้วยอุปกรณ์ใดๆ บนโลกทั้งสิ้น หากจะพบก็เป็นการพบเห็นด้วยตาเปล่าซึ่งในเวลาต่อมาเพียงไม่นานจะมีการโพสลงบนสื่อโซเชียลแล้วช่องข่าวจะออกมารายงานทีหลัง

“แกดูนี้สิ มีคนพบวัตถุลึกลับจากนอกโลกตกลงสู่ทะเลแปซิฟิก!”

“จริงเหรอ ทำไมไม่เห็นออกข่าวเลยล่ะ”

“นั่นไง ข่าวกำลังออกเลย!”

เสียงลูกค้าบริเวรหน้าห้างพูดคุยกันซึ่งตอนแรกพวกเขาดูจากในมือถือของตัวเอง หากแต่ในเวลาต่อมาบนจอขนาดใหญ่หน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งกำลังฉายโฆษณาก็เปลี่ยนเป็นข่าวด่วนจากช่องข่าวช่องหนึ่ง ก้านยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สนใจข่าวหรือบรรยากาศโดยรอบ เขาทำเพียงนั่งเอาหลังพิงเสาปูนและหลับตาลงเพื่อพักสายตาตัวเอง ก่อนที่จะมีเสียงอื้ออึงดังมาจากบนท้องฟ้าปลุกให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาตื่นอีกครั้ง

แสงสีเขียวราวกับแสงเหนือส่องสว่างลงมาถึงพื้นเบื้องล่าง สร้างเสียงฮือฮาของฝูงชนให้ดังเซงแซ่ไปทั่ว รถรามากมายต่างจอดดูปรากฎการประหลาดบนท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังมีม่านพลังงานบางอย่างค่อยๆ คืบคลานคล้ายจะกลืนกินท้องฟ้าทั้งหมด

“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะแก”

“ฉันก็ไม่รู้”

“ที่รัก เค้าว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”

ก้านรับรู้ได้ถึงความสับสนและหวาดกลัวของผู้คนเพราะเขาในชีวิตก่อนก็เคยเป็นเหมือนกัน เด็กหนุ่มมองท้องฟ้าที่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘บาเรียเคลื่อนย้าย’ กำลังเคลือบโลกเอาไว้ทั้งดวง มันเกิดมาจากวัตถุปริศนาที่ตกลงสู่ทะเลและยิงลำแสงออกมาเป็นบาเรียดังกล่าว เจ้าวัตถุสิ่งนั้นมันก็คือ ‘ชิ้นส่วนเคลื่อนย้าย’ ที่ถูกส่งมานั่นเอง และหลังจากที่บาเรียเคลือบโลกทั้งใบเอาไว้แล้วมันก็จะวาร์ปโลกไปยังอีกสถานที่หนึ่ง

พรึบ!

กรี๊ดดดด!

เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นเมื่อบาเรียคลุมโลกจนมิด เส้นแสงมากมายแหวกออกเหมือนในภาพยนต์แนวอวกาศที่ตัวยานเดินทางด้วยความเร็วแสงซึ่งโลกก็เป็นแบบนั้นหากแต่เร็วกว่าหลายเท่า เพราะเพียงแค่อึดใจก็เกิดเสียงดังอื้ออึงอีกครั้งแต่คราวนี้มันมาพร้อมกับภาพที่ทำเอาทุกๆ คนต่างก็ต้องตกตะลึง

ดาวเคราะห์สีน้ำเงินปนเขียวดวงมหึมากำลังปรากฎอยู่บนท้องฟ้า ทุกคนกล้าสาบานได้เลยว่าพวกเขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักมันมาก่อนยกเว้นเพียงก้าน

‘เรียบร้อยแล้วสินะ การผลัดเปลี่ยนจักรวาล’

ไม่ผิดจากที่ก้านคิดในใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่มันคือการเปลี่ยนจักรวาลจริงๆ และเป็นจักรวาลที่มนุษย์ไม่เคยค้นพบมาก่อนตั้งแต่ก่อกำเนิดโลกมาจนถึงปัจจุบัน ตัวของก้านเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจักรวาลแห่งนี้มันคือที่ไหนและมีชื่อเรียกว่าอะไรเพราะยังไม่มีบันทึกที่เขาหาเจอ แต่สิ่งที่เขารู้มาอย่างหนึ่งก็คือตอนนี้โลกอยู่ในระบบสุริยะใหม่ที่เรียกว่า ‘เคอร์เทิม’

ทุกๆ อย่างในระบบสุริยะนี้แตกต่างจากระบบสุริยะเดิมที่มนุษย์รู้จัก จากข้อมูลในชีวิตก่อนที่ก้านศึกษามาอย่างละเอียดก็พบว่าที่เคอร์เทิมมีดาวฤกษ์เหมือนดวงอาทิตย์ มีดาวเคราะห์เหมือนที่ที่เดิม มีวงแหวนเศษดาวและอุกาบาตเหมือนเดิมและอยู่ในกาแล็กซี่เช่นกัน เพียงแต่ว่าระบบสุริยะที่โลกมาอยู่ใหม่เล็กที่สุดในกาแล็กซี่นี้ ดาวฤกษ์ที่เป็นดวงอาทิตย์ใหม่ของโลกก็เป็นดาวฤกษ์ที่เล็กที่สุดในกาแล็กซี่นี้ แต่มันใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เดิม 100 เท่า และดาวเคราะห์ที่ทุกๆ คนกำลังเห็นอยู่นี้ถือว่าเล็กสุดในระบบสุริยะแต่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เดิม 5 เท่า มันมีชื่อว่า ‘มาเทอร์เอิร์ท’ หรือดาวแม่ซึ่งโลกในตอนนี้อยู่ในสถานะดาวบริวารของมาเทอร์เอิร์ทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก้านยังคงนั่งอยู่ที่เดิมฟังและดูความวุ่นวายรอบตัวที่กำลังเกิดขึ้น ผู้คนแตกตื่นตกใจขณะฟังรายงานข่าวที่กำลังฉาย ในโซเชียลเองก็กำลังวุ่นวายอย่างมากไม่ต่างจากด้านนอกแต่อาจจะน้อยกว่า

(จากเหตุการณ์เคลื่อนย้ายของโลกเมื่อครู่นี้มายังระบบสุริยะแห่งใหม่ ยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนไหนออกมาให้คำตอบได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและโลกของเราอยู่ที่ไหน มีรายงานว่าทางการสหรัฐเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นการด่วนและลับอย่างมาก ทำเนียบขาวถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา)

(โฆษกรัฐบาลออกแถลงการณ์ว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับประชาชนและประเทศ แต่เพื่อความปลอดภัยจึงขอให้ประชาชนทุกคนกลับเข้าเคหะสถานของตนเป็นการด่วนและรอฟังแถลงการณ์ต่อไป)

(ผู้สื่อข่าวรายงานมาว่าขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งเร่งด่วนระดมตำรวจทุกนายเพื่อทำการตั้งด่านบนถนนเส้นหลักทุกสาย และทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีคำสั่งด่วนให้จัดเตรียมกำลังพลทหารทุกนายให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด)

ตอนนี้ก้านเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ภายในลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า ในขณะที่ลูกค้าและพนักงานทุกคนถูกเจ้าหน้าที่ต้อนออกไปเพื่อส่งกลับบ้านของพวกเขา แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปเสียแล้วเพราะในเวลาต่อมาก็มีเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่ออีกอย่างเกิดขึ้น

บลิ๊งง~

หน้าต่างระบบสีฟ้าโปร่งแสงขนาดเท่าไอแพดปรากฎขึ้นตรงหน้าของก้าน และไม่ใช่แค่เขาที่ได้รับมันเพราะตอนนี้ผู้คนทั่วโลกต่างก็ได้รับหน้าต่างระบบดังกล่าวที่มีข้อความภาษาของแต่ละชาติปรากฎอยู่

[ท่านถูกขึ้นสถานะเป็น ‘มอนสเตอร์ประเภทมนุษย์’ และกำลังรอการยืนยัน]

ก้านได้ยินเสียงฮือฮาจากผู้คนด้านนอกที่พากันร้องออกมา ก่อนที่จะมีเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบซึ่งก้านก็ไม่เห็นหรอกว่าด้านนอกมันเป็นยังไง แต่ฟังจากเสียงแล้วเขาก็พอจะเดาสถานการณ์ได้ว่าคงจะตึงเครียดและกดดันไม่น้อยสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้คิดไปไกลจนเกิดความฟุ้งซ่านจู่ๆ ก็มีข้อความใหม่ปรากฎขึ้นมาอีกหนหนึ่ง

[กำลังทำการเคลื่อนย้ายท่านเข้าสู่ลานชิงมอนสเตอร์]

แล้วก้านก็ได้ยินเสียงหวีดร้องและเสียงร้องตะโกนมาจากด้านนอกของผู้คน ตามมาด้วยวงแสงสีขาวที่ปรากฎรอบตัวของเขาเองซึ่งก้านไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย

“มาเริ่มกันเลยเถอะ”

พรึบบบ!~

..

.

“อึก!”

ก้านรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเขากำลังยืนอยู่ สายตาที่ปรับโฟกัสได้ชัดเจนแสดงให้เห็นถึงมวลมหาประชาชนจากหลากหลายเชื้อชาติที่กำลังมีสีหน้าท่าทางตื่นตกใจ บางคนเป็นลม บางคนล้มพับไปกับพื้น บางคนถึงกับอาเจียนออกมาคล้ายคนเมาคลื่น

ที่นี่คือลานดินกว้างใหญ่ไพศาลที่สามารถจุคนทั้งโลกเอาไว้ได้สบายๆ โดยไม่เบียดกันเลยซักนิด โดยรอบคือกำแพงสูงที่ปรากฎประตูทั้งห้าและเส้นทางหลังประตูเหล่านั้น หากมองขึ้นไปบนกำแพงจะเห็นลำแสงนับร้อยกระจายตัวห้อมล้อมกำแพงเอาไว้ ที่นี่ก็คือ ‘ลานชิงมอนสเตอร์’ และมันเป็นการแข่งขันเพื่อความบรรเทิงของ ‘เจ้าแห่งเผ่าพันธุ์มอนสเตอร์’ ผู้ที่เลือกโลกของก้านให้มาอยู่ใต้อานัติ

เด็กหนุ่มที่ได้สติและปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้อย่างรวดเร็วเริ่มออกเดินมุ่งตรงไปยังประตูบานหนึ่ง เขาเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็วโดยไมสนใจว่าใครจะมองหรือไม่ ยิ่งก้าวความเร็วยิ่งเพิ่มจากการเดินกลายเป็นกึ่งวิ่งและกลายเป็นวิ่ง เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปยังประตูซึ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ได้ยินเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งลาน

[เริ่มต้นการชิงตราประทับมอนสเตอร์ ลำแสงที่เห็นคือจุดหมายที่มีตราประทับมอนสเตอร์อยู่ หากสามารถชิงมันมาได้ท่านสามารถเลือกประเภทของมอนสเตอร์ได้และจะได้รับความสามารถของมอนสเตอร์ที่ท่านเลือก โปรดทราบว่าตราประทับมีเพียง 300 ชิ้นเท่านั้น ระยะเวลาหมดกิจกรรมคือพระอาทิตย์ตกดินหรือตราประทับถูกชิงครบทั้งหมด เริ่มได้!]

ก่อนจะเกิดเสียงฮือฮาภายในลานกว้างแต่ก้านวิ่งพ้นประตูออกมาก่อนแล้ว บนถนนที่ปูด้วยอิฐบล็อคอย่างเป็นระเบียบและสองข้างทางคือสิ่งปลูกสร้างมากมายดูโบราณและแปลกตา แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่อยู่รอบนอกต่างหาก

ในระหว่างวิ่งก้านยังได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งทางด้านหลัง เขาไม่คิดจะเหลียวกลับไปมองและออกแรงวิ่งให้เร็วกว่านี้เพราะที่ดังถัดจากเสียงฝีเท้าพวกนั้นคือเสียงฝีเท้าของคนอีกจำนวนมาก มันมาพร้อมเสียงตะโกนร้องเรียกซึ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้มีคู่แข่งจำนวนมากไล่ตามหลังของเขามา

ก้านวิ่งตรงไปตามทางที่มีระยะทางเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น ในกิโลเมตรแรกเขาใช้ความเร็วอย่างเต็มที่จนทิ้งห่างทุกๆ คนและเริ่มมีบางคนถอดใจหยุดพักเพราะเหนื่อยล้า ในกิโลเมตรที่สองความเร็วเริ่มลดลงซึ่งก้านรู้ดีว่าเขาในตอนนี้ยังไม่แข็งแรง แน่นอนว่าจำนวนคนด้านหลังเองก็เริ่มลดลงจากความเหนื่อย ในกิโลเมตรที่สามความเร็วของก้านลดลงอย่างมากและเขาเริ่มหอบหายใจอย่างหนัก ในกิโลเมตรที่สี่ก้านเปลี่ยนจากการวิ่งเป็นการกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปแล้ว ตอนนี้เขาแทบจะหมดแรงและหิวน้ำเป็นอย่างมากไหนจะปวดล้าที่ขาทั้งสองข้าง กระทั้งในกิโลเมตรที่ห้าซึ่งเป็นระยะทางสุดท้ายเขาก็มาถึงสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนวิหารโบราณตั้งเรียงรายกันอยู่

เด็กหนุ่มเดินหอบเลี้ยวเข้าไปในวิหารหลังหนึ่งที่มีลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า เขาหูอื้อตาลายปากแห้งและหายใจแรงจนแสบลำคอกับจมูกเป็นอย่างมาก ทัวทั้งร่างท่วมไปด้วยเหงื่อที่เปียกแฮะจนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกไปด้วย ร่างที่โซซัดโซเซรวกับคนเมาเหล้าเดินเบี่ยงซ้ายเลี้ยวขวาจนเข้ามาภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ใจกลางของห้องมีฐานหินสูง 1 เมตรตั้งอยู่และบนยอดของฐานหินก็คือตราปั้มที่กำลังลอยอยู่

หมับ~

เขาคว้ามันมาไว้ในอ้อมอกก่อนจะล้มพับไปนอนกองอยู่กับพื้นด้วยสภาพอิจโรย ก้านหอบหายใจอย่างหนักและได้ยินเสียงฝีเท้ากึ่งเบากึ่งแรง

[โปรดเลือกประเภทมอนสเตอร์ที่ท่านต้องการ]

ทันทีที่ยกตราประทับขึ้นข้อความก็ปรากฎขึ้นมาบนหน้าต่างระบบทันที พร้อมกันนั้นยังมีหน้าต่างอันใหม่ที่มาพร้อมรายละเอียดของประเภทมอนสเตอร์กับสายพันธุ์ แต่ก้านมีเป้าหมายในใจอยู่แล้วเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงติดหอบเหนื่อยว่า

“แมงมุมอีดเทอร์”

ทันใดนั้นภาพของแมงมุมตัวเท่าฝ่ามือมีสีกายสีดำดูไร้ความโดดเด่นหรือพิษสงก็ปรากฎพร้อมกับรายละเอียด แต่ก้านไม่สนใจและทำการปั้มตราลงตรงใต้ท้องแขนซ้ายของเขาทันที เป็นจังหว่ะเดียวกับที่มีคนเข้ามาภายในห้องโถงและล้มพับลงไปกับพื้นถึงสามคน ลำแสงเหนือหลังคาวิหารหลังนี้ดับวูบไปพร้อมๆ กับสติของก้าน

บทที่ 3 . ดูดกลืน

ก้านมาได้สติอีกครั้งก็ในตอนที่เขารู้สึกตัวและพบว่าตนเองกลับมาที่โลกแล้ว และต่อให้ไม่ได้เห็นตอนจบของการชิงตราแต่ก้านก็สามารถรู้ได้ว่าตราทั้งหมดมีเจ้าของไปแล้วเพราะมันเหมือนกับในชีวิตก่อนของเขา เด็กหนุ่มยังพบอีกว่าตอนนี้เขากลับมาอยู่ในลานจอดรถที่เดิมและเมื่อยกแขนซ้ายขึ้นหงายก็พบสัญลักษณ์รูปแมงมุมสีดำถูกล้อมด้วยวงแหวนอักขระ เพียงเห็นแค่นั้นดวงตาของก้านก็เป็นประกายระยิบระยับไปแล้ว

แต่ก่อนที่เขาจะได้มีเวลาดีใจและชื่นชมไปมากกว่านี้ ด้านนอกก็มีเสียงร้องตกใจของผู้คนจำนวนมากดังเข้ามา ก้านเห็นว่ามันถึงเวลาแล้วจึงได้รีบพาตัวเองเข้าไปภายในห้างที่ชั้นใต้ดิน ร้านค้ามากมายที่ข้าวของยังถูกทิ้งเอาไว้แบบนั้นเพราะผู้คนถูกต้อนออกไปจนหมด แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่เคยเฝ้าอยู่ก็ไม่มีให้เห็นเพราะพวกเขาต่างพากันออกไปข้างนอกเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์การเปิดของประตูมิติจำนวนมาก

ก้านขึ้นมาบนชั้นหนึ่งของห้างที่ตอนนี้ร้างผู้คนเป็นอย่างมาก แสงสีฟ้าจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงของผู้คน เด็กหนุ่มมาหยุดอยู่ตรงระหว่างเสาคู่หนึ่งก่อนจะยกมือซ้ายของเขาขึ้น มันคือวิธีการแปลงร่างที่ต้องเรียกชื่อมอนสเตอร์ออกมา

“อีดเทอร์”

สิ้นเสียงของก้านปุ๊บวงแหวนอักขระสีม่วงก็ปรากฎอยู่ที่ระดับเท้าพร้อมสัญลักษณ์แมงมุมที่ใต้เท้า ก่อนที่วงแหวนอักขระจะเคลื่อนตัวขึ้นมาและร่างของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแมงมุมตัวเท่าฝ่ามือสีดำ ก้านรับรู้ได้ทันทีว่าเขาตัวเล็กลงอย่างมากแต่กลับมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เพราะแมงมุมอีดเทอร์มีความสามารถในการมองเห็นสามแบบคือมองปกติที่คมชัด มองกลางคืน และมองผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

“เอาล่ะ… จะเริ่มล่ะนะ”

พอเริ่มเคลื่อนตัวเด็กหนุ่มก็ทำการจับเวลาโดยเริ่มนับภายในใจ เขาใช้การกระโดดไปเกาะเสาต้นแรกและทำการชักใยออกมาแปะติดก่อนจะโยงไปยังเสาอีกต้น ทำแบบนี้จนได้ใยทรงสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเมตรครึ่งและกว้างหนึ่งเมตร เสร็จจึงรีบพาตัวเองไปยังทางเดินอื่นๆ ที่คาดว่าจะมีคนเดินผ่านและทำการกางใยแบบเดิมอีกหลายๆ จุด

‘1นาที 39 วิ’

เขายังคงนับเวลาในใจขณะเคลื่อนไปยังชั้นสองของห้างและกางใยอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งกางจนทั่วแล้ว เขาจึงพาตัวเองใต่ขึ้นไปบนเพดานใต้ทางเดินของชั้นที่สามและเฝ้ารอ

‘และ… 6 นาที’

ฟู่วววว~

มวลพลังงานสีฟ้าปรากฎขึ้นพร้อมการขยายตัวออกของประตูมิติที่ดูคล้ายเมฆฝน ก่อนที่ร่างทั้ง 51 คนของฮันเตอร์ชายหญิงจะปรากฎออกมา แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงมากันแค่นี้นั่นก็เพราะมันเป็นการแอบส่งมาเพื่อไม่ให้เจ้าแห่งเผ่าพันธุ์มอนสเตอร์รู้ตัว และที่อื่นๆ ทั่วโลกเองก็มีจำนวนฮันเตอร์โผล่ออกมาประมาณนี้เช่นกัน

ก้านเฝ้ามองคนพวกนั้นที่มีอาวุธครบมือและเริ่มพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ เขาไม่ได้ยินหรอกว่าพวกนั้นพูดอะไรแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นการนัดหมายเวลาในการปฏิบัติงานและการนัดพบกันอีกครั้งเพื่อเดินทางกลับ จนเมื่อทั้ง 50 คนไปกันหมดแล้วเหลือไว้เพียงแค่คนเดียวที่ยังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ ก้านมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังจะศึกษาสกิลใหม่ของตัวเองที่พึ่งได้หรับหลังการเป็นฮันเตอร์มาหมาดๆ

แมงมุมตัวดำไต่ออกจากที่ซ่อนโดยอาศัยใยที่พาดไว้เหนือชั้นสองระหว่างระเบียงชั้นสาม จนเขามาหยุดอยู่เหนือหัวของฮันเตอร์หนุ่มหน้าละอ่อนที่กำลังรวบรวมความกล้า ก้านชักใยหย่อนตัวเองลงมาหาอีกฝ่ายจนใกล้ถึงศรีษะแล้วทำการกางใยให้เป็นเหมือนกับแหคลุมชายหนุ่มเอาไว้

“เฮ้ย! อร๊ากกกก ช่วยด้วย!!”

ชายหนุ่มตกใจที่โดนใยแมงมุมคลุมร่างจนตะโกนแหกปากลั่น เพราะเขารู้ว่าเพื่อนของตนยังไม่ออกไปจากห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จึงส่งเสียงสุดลำคอและมันก็ได้ผลจริงๆ เพราะเพียงไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมาพร้อมเสียงฝีเท้า หากแต่ก้านกลับยังทำใจเย็นห้อยตัวมองเหยื่อของตนที่กำลังดิ้นพล่านเพื่อออกจากใยที่เหนียวเป็นอย่างมาก

“มะ มอนสเตอร์ บ้าเอ้ย!!”อีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความตกใจอีกหนเมื่อเห็นก้าน แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพยายามดิ้นให้หลุดจากใยที่ตนเองไม่สามารถมองเห็น เขายังพยายามตะโกนเรียกเพื่อนที่อยู่ด้านล่าง”เฮ้ย มาช่วยฉันหน่อย!!”

“บ้าเอ้ย ฉันโดนอะไรวะเนี่ยทำไมขยับไม่ได้เลย!?”ก่อนจะมีเสียงของเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งตะโกนสวนกลับมา และตามมาด้วยเสียงของเพื่อนสาวอีกคนที่ก็ตะโกนคล้ายๆ กัน”มีอะไรก็ไม่รู้มาพันรอบตัวฉัน ใครก็ได้ช่วยที!”

“ใครมันเอาเทปใสอะไรมาดักไว้วะ แต่เทปใสบ้าอะไรทำไมเหนียวแถมยังมองไม่เห็นแบบนี้!!”

ชายหนุ่มทำหน้าเหรอหราหลังได้ยินเสียงร้องโวยวายของพวกเพื่อนๆ ก่อนจะหันมามองก้านที่กำลังหย่อนตัวลงต่ำมาเรื่อยๆ พร้อมกับเอ่ยถาม

“ทำไงดีล่ะ เพื่อนมาช่วยไม่ได้แล้ว”

“ไอ้เวรเอ้ย ฉันฆ่าแกแน่ไอ้มอนสเตอร์กระจอก!”

“หึ หึ ฆ่าฉันเหรอ แกทำได้จริงๆ เหรอ?”

ก้านหย่อนตัวลงมาบนร่างของอีกฝ่ายที่พยายามดีดดิ้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด การมีแมงมุมตัวใหญ่เท่าฝ่ามือมาเกาะบนร่างและกำลังไต่เข้ามาหาใบหน้า มันทั้งน่ากลัวและสยองเป็นอย่างมากเสียจนชายหนุ่มขนลุกพองไปทั่วร่าง

“เอาล่ะเลิกเล่นได้แล้ว…”สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มเขาก็กระดกก้นป่องๆ ที่ด้านท้ายขึ้นทำให้เกิดเสียงชิ๊ง~ มันคือเสียงนอยเหมือนกับนอยของผึ้งหรือต่อแต่มีขนาดใหญ่เท่าเข็มเย็บกระสอบป่านก็ไม่ปาน เล่นเอาชายหนุ่มขนหัวลุกซู่และพยายามจะแหกปากร้องแต่ก้านก็ตวัดนอยนั้นลงอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังฉึก เขากล่าวขณะจ้องมองอีกฝ่ายว่า”นี่… สำหรับที่พวกแกจะฆ่าฉัน”

“อึก อั๊ก อึก!… เฮือกกก!!”

ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงที่ก้านพูดอีกแล้วเพราะตอนนี้พิษอัมพาตชนิดรุนแรงถูกพ่นเข้าไปในร่าง ก่อนที่พลังงานในตัวจะถูกดูดกลับขึ้นมาใส่ร่างของก้านที่กำลังสะท้านไปทั่วทั้งวิญญาณภายใน มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะวิเศษเกินคำบรรยาย แต่สิ่งที่ก้านสนใจที่สุดกำลังถูกเขาดูดเข้ามาเช่นกัน

[ท่านต้องการดูด ‘สกิลโคลนนิ่ง’ ของเหยื่อใช่หรือไม่?]

“มาขนาดนี้แล้วยังจะถามอีกเหรอ ก็ต้องใช้สิ!”

[กำลังทำการดูดกลืนสกิลของเหยื่อ]

ก่อนที่จะปรากฎแถบแสดงความคืบหน้าในการดูดความสามารถ ก้านเฝ้ารออย่างใจเย็นและกำลังเพลิดเพลินไปกับพลังงานจากร่างของเหยื่อรายแรกของเขา ท่ามกลางเสียงแห่งความวุ่นวายภายนอกตัวห้างและเสียงเอะอะโวยวายจากภายในตัวห้างในเวลาเดียวกัน

[ทำการดูดกลืน ‘สกิลโคลนนิ่ง’ สำเร็จ]

[ทำการบรรจุ ‘สกิลโคลนนิ่ง’ เป็น ‘ความสามารถโคลนนิ่ง’ สำเร็จ]

เมื่อได้เห็นข้อความแจ้งเตือนก้านจึงถอนนอยของเขาออกจากร่างที่แห้งกรังไม่เหลือกระทั้งความชื่นในร่างกาย เขาใต่ลงมาจากร่างนั้นก่อนที่มันจะสลายกลายเป็นผุยผงไปเองเหลือไว้เพียงเสื้อผ้าและสิ่งของอีกเล็กน้อย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใต่ขึ้นมาบนขอบระเบียงชั้นสองมองลงไปยังชั้นหนึ่ง ทั้งที่บันใดเลื่อน หน้าร้านเสื้อผ้า หน้าร้านนาฬิกา หน้าร้านรองเท้าและมุมอื่นๆ ซึ่งตอนนี้มีฮันเตอร์ 50 คนกำลังนอนดิ้นพล่านอยู่บนพื้นทำท่าราวกับถูกมัดอยู่

“น่าเสียดาย… ดูดกลืนมีเพียงเลเวล 1 เลยสามารถดูดความสามารถได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น ถ้าอัพเลเวลสูงกว่านี้เราคงได้มีความสามารถจากสกิลของฮันเตอร์พวกนี้ไว้ใช้งานอีกเยอะเลย”

ตอนนี้ในสายตาของก้านไม่ว่าจะมองใครหรืออะไรหากเป็นสิ่งมีชีวิตจะมีจุดสีเขียวปรากฎอยู่เหนือหัวทั้งหมด มันคือสัญลักษณ์แสดงออกว่าเขาสามารถบันทึกแบบร่างได้เพื่อนำไปสู่การโคลนนิ่ง แต่เพราะตอนนี้ความสามารถโคลนนิ่งที่ได้มานั้นยังเป็นเลเวล 1 จึงบันทึกและโคลนนิ่งได้แค่คนเดียว ทว่ามันยังมีข้อดีอีกอย่างที่ติดมาด้วยคือเขาสามารถเห็นความสามารถของคนๆ นั้นได้แม้จะไม่ได้ต้องการโคลนนิ่งก็ตาม ทำให้ก้านที่มีความคิดบางอย่างอยู่ในหัวกวาดสายตามองไปยังฮันเตอร์ทั้งหมด เขาเห็นสกิลของคนพวกนั้นอย่างชัดเจนไม่มีใครหลบซ่อนได้

“อ่าห้ะ…”

เมื่อเห็นคนที่ถูกใจเขาก็ไต่ไปตามผนังและมาหยุดอยู่เหนือร่างของฮันเตอร์คนหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นหนุ่มผมทรงโมฮ๊อคสีแดงดูโดดเด่นที่สวมชุดทะมัดทะแมงในโทนสีดำและแดงมีอาวุธเป็นดาบ แม้จะดูเหมือนฮันเตอร์มือใหม่ทั่วๆ ไปแต่สกิลของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาเลย โดยสกิลดังกล่าวประกอบไปด้วย ‘สกิลดาบกรีดร้อง’ ที่เป็นการปลดปล่อยคลื่นเสียงของดาบชวนบาดหูและ ‘สกิลมาดนักรบ’ อันเป็นการบัพตัวผู้ใช้งานให้เสมือนมีวิญญาณนักรบมาสิงสู่และทำการต่อสู้

“แกนี่แหละเหมาะสุดสำ”ก้านมองชายผมโมฮ๊อคที่มีจุดสีเขียวอยู่เหนือหัว ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า”บันทึก”

พอสิ้นเสียงของก้านจุดเขียวเหนือหัวของชายผมโมฮ๊อคก็ลดลงเข้าหาร่างเป้าหมาย ก่อนจะเกิดการสแกนสร้างภาพแบบร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นแบบร่างก็ถูกดึงออกมาและย่อส่วนให้เล็กลงไปอีก ซึ่งมันเป็นเวลาพอดีกับที่ฤทธิ์ของใยล่องหนกำลังจะหมดลง พวกฮันเตอร์รับรู้ได้ว่าสิ่งที่พันธนาการตนอยู่ในตอนนี้อ่อนกำลังลงแล้วจึงไม่รอช้าออกแรงกระชากให้มันขาดออก

“โคลนนิ่ง”

ทว่าก้านกลับเร็วกว่าพวกเขาที่กำลังดิ้นหนีออกจากใยแมงมุม เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้บนพื้นเบื้องล่างตรงหน้าของชายผมทรงโมฮ๊อคปรากฎอีกร่างหนึ่งขึ้นมา มันทำให้ชายคนดังกล่าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ก็เห็นเช่นเดียวกัน ร่างของชายหนุ่มผมทรงโมฮ๊อคสีแดงแต่งตัวและถืออาวุธเหมือนกับเพื่อนร่วมกลุ่มของพวกเขา

[โปรดตั้งชื่อให้กับร่างโคลนของท่าน]

“เอมบลัด”

ก้านตอบกลับเบาๆ ทำให้มันบันทึกชื่อตัวเองและเอมบลัดที่ก้มหน้าหลับตาอยู่ก็เงยหน้าขึ้นและลืมตา สายตาของเขาแตกต่างไปจากร่างต้นโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับบรรยากาศรอบตัว

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมถึงมีฉันอีกคนอยู่ตรงนี้ด้วยวะ”

“ต้องเป็นไอ้มอนสเตอร์แมงมุมนั่นแน่ แต่ทำไมมันถึงมีสกิลโคลนนิ่งของชายน์!?”

“ตอนนี้อย่าพึ่งถามอะไรเลยแล้วรีบหยิบอาวุธกันก่อน!!”

เสียงตะโกนบอกต่อๆ กันดังขึ้นหากแต่ก้านไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เขาเพียงออกคำสั่งสั้นๆ ที่พวกฮันเตอร์ไม่ทันจะได้ยินกันแล้วเอมบลัดก็ยกดาบชี้ไปด้านหน้า เขากล่าวเสียงเย็นยะเยือกออกมา

“ดาบกรีดร้อง”

ทันใดนั้นเสียงอันแสบแก้วหูก็ถูกปลดปล่อยออกจากใบดาบเรียวยาว มันเป็นเสียงเล็กแหลมของโลหะที่กำลังถูกขูดอย่างจงใจจนทำให้คนฟังต้องทรมาณเป็นอย่างมาก พวกฮันเตอร์ที่ได้ยินเสียงพากันดีดดิ้นไปกับพื้นและพยายามจะยกมือปิดหูแต่ยังถูกพันธนาการอยู่ ที่รูหูทั้งสองข้างปรากฎหยาดเลือดค่อยๆ ไหลออกมาจนดูน่ากลัว คลื่นเสียงมันสร้างความเจ็บปวดจนเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นให้กับทุกๆ คนที่ได้ยินมันยกเว้นเพียงก้านและเอมบลัดที่ยังคงนิ่งเฉย ตอนนี้สติของพวกฮันเตอร์เริ่มพล่าเลือนไปมากและหูของพวกเขาก็เหมือนจะอื้ออึงจนไม่ได้ยินอะไรเลย

เป็นเวลาเดียวกับที่ใยแมงมุมล่องหนสลายไปทำให้พวกฮันเตอร์ได้รับอิสระภาพ พวกเขาที่สติพล่าเลือนและหูก็อื้ออึงพากันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เอมบลัดลดดาบลงไว้ข้างขาก่อนจะออกเดินไปหาเหยื่อคนแรกของเขาซึ่งก็คือร่างต้นแบบของเขาเอง ก่อนที่ชายหนุ่มอายุประมาณ 21 ปีที่เป็นร่างโคลนจะตวัดดาบเสยขึ้นใส่ร่างของอีกฝ่ายจนสะบัดไปทางหนึ่งและล้มลง เอมบลัดยังหันกลับมาแทงปลายดาบใส่ร่างที่นอนคว่ำอยู่จนมันทะลุไปเสียบกับพื้นปูนเบื้องล่างก่อนจะดึงออก

“ย๊า!!”

เสียงของชายผมสั้นอีกคนที่ตอนนี้สติยังกลับมาไม่ครบสมบูรณ์ส่งเสียงร้องขณะเงื้อดาบวิ่งเข้ามาใส่ แต่เอมบลัดทำเพียงขยับตัวหลบแบบง่ายๆ เพราะอีกฝ่ายใช้การจู่โจมง่ายๆ เพียงการยกดาบและวิ่งเข้ามาหา เอมบลัดเพียงยกขาซ้ายและวางไปข้างหน้าอีกฝ่ายวิ่งมาก็สะดุดล้มลงไปกับพื้น

สวบบบ!!

ก่อนที่ปลายดาบของชายผมทรงโมฮ๊อคจะเสียบทะลุจากทางด้านหลังของเขาจนอีกฝ่ายถึงกับผวาเฮือกและตายลง เอมบลัดดึงดาบออกแล้วหันไปปัดคมขวานที่มาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงจนมันเฉไปทางอื่น ก่อนจะย้อนคมดาบอีกด้านเข้าหาตัวเจ้าของขวานเล่มดังกล่าว

ฉัวะ!!

ร่างสูงใหญ่ราวกับนักเพาะกายทรุดลงไปกับพื้นจากอาการบาดเจ็บและอาการก่อนหน้านี้รวมกัน เอมบลัดทำการปาดคมดาบไปที่คอของอีกฝ่ายจนเลือดพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสายดูน่ากลัว

“ฆ่ามัน!”

โดยปกติแล้วสกิลมาดนักรบควรถูกเรียกออกมาใช้หากศัตรูมีจำนวนมากกว่าหรือเก่งกว่า แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้เอมบลัดไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยด้วยซ้ำเพราะศัตรูของเขาที่เหลือต่างก็สติไม่ครบสมบูรณ์และใบหูก็ไม่ได้ยินเสียง มันแทบไม่ต่างจากการเสียสมดุลครั้งใหญ่ที่ยากจะกู้คืน ดังนั้นเขาจึงประเมิณว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวและสามารถจัดการได้ง่ายๆ เพียงแค่ออกแรงนิดหน่อย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ