วันที่ 18 มิ.ย.นายกษิต ภิรมย์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า…จดหมายเปิดผนึก เรียน ท่านมิตรสหายที่พรรคประชาธิปัตย์ ท่านมิตรสหาย 3.9 ล้านเสียง เนื่องด้วย ผมได้สดับตรับฟังและอ่านข่าวการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของตัวผมเองในสื่อต่างๆ แล้ว พบว่ามีใจความที่ไม่ค่อยจะครบถ้วนตามความตั้งใจ อันอาจจะเนื่องมาจากการสื่อสารในเวลาอันสั้นระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อ ทำให้ผมอาจจะสื่อออกไปได้ไม่ชัดเจนเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดได้ ผมจึงขออนุญาตใช้จดหมายฉบับนี้ เพื่ออธิบายความให้ครบถ้วน ตัวผมเองได้ตัดสินใจเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลที่ว่า ตนเองนั้นยืนอยู่บนอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ซึ่งมีทิศทางเดียวกันกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่บุคคลใดๆ จะเลือกเข้าสังกัดพรรคใด ย่อมสมควรที่จะมีอุมการณ์เดียวกันมิใช่เดินเข้าไปร่วมพรรคเพียงเพื่ออำนาจ และผลประโยชน์ และที่ผ่านมา ผมเองได้รับโอกาสจากทางพรรคประชาธิปัตย์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทั้งทางด้านการเมือง และงานภายในพรรค และเมื่อไม่นานมานี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งผมไปดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในฐานะตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งในระหว่างนั้นผมก็ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มพละกำลังและความสามารถ เพื่อผลักดันอุดมการณ์เสรีนิยม ให้เข้าไปอยู่ในแผนปฏิรูปประเทศ ภายใต้รัฐบาล ค.ส.ช. ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจ หรือแผนแม่บทการปฏิรูปวัฒนธรรมการเมือง เป็นต้น ซึ่งได้ปรากฏตามเอกสารรายงาน และบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองและการประชุมใหญ่ของ สปท. ระหว่างการทำงานในตำแหน่งสมาชิก สปท. ผมได้พยายามนำเสนอแนวคิดของเสรีนิยม ส่งผลให้ผมตกอยู่ในกลุ่มเสียงกลุ่มน้อย กล่าวคือข้อเสนอมักจะไม่ได้รับการตอบสนองจากที่ประชุมส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงมิได้แปลกใจที่ข้อเสนอข้อคิดเห็นในการปฏิรูปประเทศต่างๆ ที่ได้นำเสนอไปยังผู้มีอำนาจบริหารประเทศนั้น จะไม่ได้รับความสนใจ และไม่ได้ถูกนำไปใช้ในทางปฏิบัติ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น มิได้ต้องการปฏิรูปประเทศ และการเมืองไทยไปในทิศทางเสรีนิยม (อันได้แก่การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม เป็นต้น) หากแต่มุ่งเน้นไปในทิศทางอำนาจนิยม ที่สนใจการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง และสนับสนุนการเพิ่มอำนาจของภาครัฐ เป็นหลัก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์แห่งระบอบประชาธิปไตย ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมกับประชาชนชาวไทยเมื่อครั้งที่แรกเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารเอาไว้ว่า จะอาสานำเอาประชาธิปไตยที่เป็นแก่นสารกลับมาสู่สังคมไทย นอกจากนั้นแล้ว ผลงานทางด้านการบริหารประเทศ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของรัฐบาล คสช. ก็เต็มไปด้วยข้อครหา ถึงการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนใหญ่ ที่มีสายสัมพันธ์กับบรรดานายทหารที่ใกล้ชิด รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างสุรุ่ยสุร่ายผ่านทางนโยบายประชารัฐ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อประชานิยมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม แต่เป็นการกระทำเพื่อให้ดูดีเท่านั้น เพียงเพื่อหวังผลคะแนนนิยมจากสังคมเป็นหลัก และเมื่อเวลาที่การครองอำนาจเพื่อการปฏิรูปประเทศใกล้งวดลง สังคมไทยก็เริ่มได้เห็นกระบวนการเตรียมการเพื่อกลับมากุมอำนาจรัฐต่อโดยกลุ่มรัฐบาลทหาร และพวกพ้อง โดยเริ่มจากกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้กองทัพและข้าราชการมีตำแหน่งทางการเมือง การจัดตั้งพรรคนิยมทหารขึ้นมาเพื่อรวบรวมอดีตนักการเมืองเอาไว้เป็นฐานเสียง การกำหนดให้วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารสามารถลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีได้ โดยสิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้เกิดเสียงครหาจากชาวไทยและนานาชาติว่า เป็นกติกาที่ไม่สะอาด ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาในการสืบทอดอำนาจ ของ รัฐบาล ค.ส.ช. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำอย่างชัดเจน จากข้างต้นจึงกล่าวได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือตัวแทนของฝ่ายทหารการเมือง ในการสืบทอดอำนาจ ภายใต้แนวคิดอำนาจนิยม ผ่านทางการเลือกตั้งที่มีกติกาแสนวุ่นวาย และไม่โปร่งใส ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย อันเป็นผลงานของพรรคพวก พวกพ้อง ของรัฐบาลทหารเอง จึงถือได้ว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมของผู้ฝักใฝ่ลัทธิเผด็จการโดยปริยาย และเมื่อกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภาผู้แทราษฎรของพรรค ได้มีมติออกมาว่า จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องจากการที่บุคคลของพรรคไปดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร นั่นก็แปลว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้กระทำตนเป็นผู้สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการทหารโดยปริยาย อันเป็นการขัดต่อ อุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ข้อ 4. ที่ว่า “ พรรคจะไม่สนับสนุนระบบและวิธีแห่งเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นระบบและวิธีการของรัฐบาลใดๆ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการนำพาพรรคประชาธิปัตย์ไปยังทิศทางแห่งเสรีประชาธิปไตย ตามอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องให้ถูกถอดถอนจากการเป็นนักการเมืองและเสี่ยงต่อการคงอยู่ของพรรค อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ของพรรคนั้นเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของพรรค หากยอมให้มติพรรคอยู่เหนืออุมการณ์พรรคได้แล้ว ก็ไม่แตกต่างอะไรกับ รัฐบาลที่อ้างเสียงข้างมากเป็นใหญ่ แล้วไม่สนใจกฎ กติกา หลักการประชาธิปไตยอื่นๆ โดยมุ่งแต่จะใช้จำนวนการยกมือในสภามาบริหารประเทศตามใจตน ไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน จนนำมาซึ่งวิกฤติการณ์ทางการเมืองนั่นเอง และในวันนี้ ที่ทิศทางการบริหารของพรรค ได้เดินไปคนละทางกับอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และอุมการณ์ของตนเอง ทำให้ผมเองไม่สามารถอ้างคำว่า ขอยอมรับในมติพรรค เพื่อที่จะได้ทำเฉยๆ แล้วเดินร่วมกันต่อไป ดังนั้น จึงถึงเวลาอันสมควร ที่ผมจะได้ทำการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ได้ปรากฏในแฟ้มข่าวสาธารณะต่างๆ ผมขอเรียนด้วยว่า ที่ผ่านมา ผมเองได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า มิได้ต้องการตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีกแล้ว เนื่องด้วยได้ปฏิบัติหน้าที่ในดำแหน่งต่างๆ มาพอสมควร และประสงค์ทำงานด้านบริหารให้พรรค โดยเฉพาะการปฏิรูปพรรค ผมจึงมิได้ลงรับสมัครเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งก็มีความเห็นว่า ผู้อาวุโสที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว ก็น่าจะต้องถอยออกมายืนในตำแหน่งที่ปรึกษา แล้วสนับสนุนคนรุ่นใหม่ๆ ให้ไปทำหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสนับสนุนคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ตรงสาย ไปทำงานในตำแหน่งการเมืองต่างๆ เพื่อที่จะได้มีการเติบโตของคนรุ่นใหม่ในแวดวงการเมือง ซึ่งเขาเหล่านี้ ย่อมมีความสามารถผลักดันประเทศได้เข้ายุคเข้าสมัย ก็ขอส่งกำลังใจให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ให้ได้อดทน รอเวลาที่จะได้แสดงฝีมือเมื่อมีโอกาสแล้ว ผมก็ถือโอกาสนี้ให้กำลังใจและอวยพรให้ประสพความสำเร็จในการนำพาพรรคและในความก้าวหน้าของประเทศ นอกจากนั้น ผมขอเรียนย้ำว่า ผมมิได้มีความทะเยอทะยานและมิได้มีแนวคิดใดๆ ที่จะไปตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองพรรคใดๆ นอกจากจะมุ่งหน้าไปดำเนินการในภาคประชาชนเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย ตามกรอบแห่งธรรมาภิบาล ซึ่งสนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจ และการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน ซึ่งหากมิตรสหายใดๆ สนใจที่จะให้ความร่วมมือ ผมก็ยินดีที่จะน้อมรับเพื่อจักได้ก่อให้เกิดพลังการเมืองภาคประชาชน เป็นพลังการเมืองขั้วที่สามระหว่างกลุ่มทหารการเมือง กับกลุ่มการเมืองอาชีพสามานย์ โดยเป้าหมายหลัก คือการคานอำนาจ และตรวจสอบการดำเนินการบริหารประเทศของฝ่ายการเมืองต่างๆ การจากลาจากพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ มิได้เป็นการเดินออกมา เพราะความไม่พอใจ หรือความโกรธ เกลียด หรือเป็นศัตรูกับผู้หนึ่งผู้ใดแต่อย่างใด ด้วยที่ผ่านๆ มา ผมเองได้มีการปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ สมาชิกพรรค ซึ่งก็ได้ให้ความกรุณา และมีเมตตากับผมมาโดยตลอด ซึ่งผมขอกราบขอบพระคุณยิ่งมา ณ ที่นี้ อนึ่ง ผมขอขอบคุณ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ สำหรับการให้โอกาสผมได้เข้ามาร่วมทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์ และขอขอบคุณพี่บัญญัติ บรรทัดฐาน ที่ได้เมตตา เตือนสติ ให้ข้อคิด ข้อแนะนำ ที่สร้างสรรค์มาโดยตลอด สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณผู้ร่วมงาน มิตรสหาย ผู้ให้กำลังใจ ที่ช่วยให้ผมอยู่บนเส้นทางการเมืองกับอุดมการณ์และหลักการมาโดยตลอด และรอคอยที่จะได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างการเมืองภาคประชาชนที่มีความเข้มแข็งเพียงพอจะช่วยคัดท้ายประชาธิปไตยไทย ให้เดินหน้าไปบนเส้นทางแห่งธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน ขอขอบพระคุณ กษิต ภิรมย์ 12 มิ.ย. 2562
ไอ้ตูบมันไม่ฟังใครหรอกมันคิดเอาเองว่ามันทำแบบสุดยอดของมันล่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมหน้าหนาขนาดนี้ คิดว่าตัวเองดี ดีที่สุด กูละกลุ้มใจแทน ปชช จิงๆมันหนาจะให้ทำไงล่ะ
18 มิ.ย. 2562 เวลา 15.50 น.
'TIGER PUI”” กำลังจะสวาปาม อดอยากมานาน..
18 มิ.ย. 2562 เวลา 15.42 น.
คนเลือกลุงตู่อย่าไปคิดมากผลงานก็เห็นๆกันอยู่ถ้าไม่นับลุงตู่กับพรรคปชป.ประเทศนี้ก็บริหารด้วยคนที่เคยเป็นคนของพรรคเพื่อไทยมาแล้วทั้งนั้น ใครเลือกเขาก็รับสภาพไป
18 มิ.ย. 2562 เวลา 15.59 น.
หมวดจบ หล่อหลบใน ในอดีตที่ผ่านมา มึงก็อาสาเป็นหมาให้ คสช. ในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ มิใช่รึ หนีออกมาด้วยผลประโยชน์ไม่ลงตัวมั้ง
18 มิ.ย. 2562 เวลา 15.59 น.
ขออภัย งดใช้ รับอาสากันเข้ามา
18 มิ.ย. 2562 เวลา 15.36 น.
ดูทั้งหมด