ไลฟ์สไตล์

จะมีสักกี่คนที่งานต้องมาก่อนความรัก! คุยกับนางฟ้าวงการไอที “เฟื่องลดา” เธอสตรองกว่าที่คุณคิด!

LINE TODAY
เผยแพร่ 17 ส.ค. 2561 เวลา 08.44 น. • Chanatcha.

หากพูดถึงสาว ๆ ในวงการไอที จะต้องมีชื่อของสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้าวงการไอทีคนนี้แน่นอน “เฟื่องลดา-สรานี สงวนเรือง” สาวสวยจากรั้วคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะเป็นการข้ามสายงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เธอก็สามารถประสบความสำเร็จในวงการไอทีได้อย่างสวยงาม โดยเธอบอกกับ LINE TODAY ว่าอยากให้เรื่องไอทีเป็นเรื่องของคนทุกคน ตอนนี้อะไรๆก็ 4.0 ถ้าเราใช้เทคโนโลยีเป็น นอกจากนี้มุมมองในเรื่องความรักของเธอ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไปพบกับเฟื่องลดากันเลย

เข้าสู่วงการได้ยังไง เห็นว่าเรียนจบด้านอักษรมา แล้วข้ามมาสายไอทีก็คนละสายเลย?

ก่อนหน้านี้ทำงานพิธีกรอยู่แล้วบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ใช่สายไอที ทีนี้วันที่เรากำลังจะเรียนจบ ก็เลย Tweet ใน Twitter เชิญคนมางานรับปริญญา แล้วพี่หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (พิธีกรและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์รายการแบไต๋แฮเทค) ก็คงเห็นและจำได้ว่ามีน้องคนนี้อยู่บนโลก แล้วเห็นช่วงนั้นเค้าหาพิธีกรหญิงอยู่ ก็เลยทักมา บอกว่าได้เวลาฟรีทีวีมา ลองไหม เราก็เลยลอง เราเลยไปแคสติ้งแล้วก็ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้น จากอักษรแล้วกระโดดมาไอทีเลย แต่ถ้าย้อนไปเด็กๆ เราก็มีความสนใจด้านประมาณนี้บ้างอยู่แล้ว เป็นเว็บมาสเตอร์ เล่น Raknarok (เกมออนไลน์) พอโตขึ้นก็มีความหญิงขึ้นนิดนึง 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สนใจเกมเพราะอะไร

ตอนเด็ก ๆ เพื่อนสนิทมีน้องชาย แล้วเพื่อนชวนเล่นอะไรก็เล่น ก็สนุกดี เหมือนเล่นเพลินๆไป อยู่ในโลกของอินเตอร์เนต โลกของตัวละครสมมุติ เรารู้สึกว่ามันสนุกดี เป็นช่วงเวลาที่ติดเกม เพราะได้คุยกับเพื่อน แต่จริงๆชอบเขียนเว็บ ทำเว็บ เป็นความตื่นตาตื่นใจอีกแบบนึง สมัยโบราณ ไม่รู้เกิดทันหรือเปล่า ฮ่าๆ เป็นยุคที่บอร์ด server.org มันฮิตๆ ก็จะให้ใส่โค้ดตัวอักษรวิ่ง ใส่หิมะตก ใส่สี เราชอบวงเล็บเปิดปิด เราก้ทำของเรา รู้สึกว่า เออ เก่งจังเลย เขียนโค้ดถูกก็ดี เลยรู้สึกว่าเรามีความชอบอะไรประมานนี้อยู่

รู้สึกยังไงกับฉายานางฟ้าวงการไอที

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ก็ดีค่ะ วงการนี้ผู้หญิงน้อย รู้สึกดีใจขอบคุณ เราไม่ใช่นางฟ้าอะไรหรอก ก็คนธรรมดานี่แหละ คือคงพอมีผู้หญิงมาอยู่ในวงการที่มันแมนๆ บ้าง คนก็คงก็ดีใจที่เราอาจจะทำให้เรื่องราวไอที ที่ผู้หญิงคนอื่น อาจจะรู้สึกว่า ไม่ชอบ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยาก มันไม่ใช่เรื่องของชั้น ทำให้คนอื่นเห็นว่าผู้หญิงทำได้ เฟื่องเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของคนทุกคน ตอนนี้อะไรๆก็ 4.0 เทคโนโลยีเนี่ยถ้าเราใช้เป็นมันก็จะดีงามนะ 

ปกติจะเห็นเฟื่องทำงานเป็นแนววิดีโอซึ่งใช้การพูดเยอะ เป็นดีเจ เป็นนักร้องมาก่อน พอได้มีโอกาสทำ THINK TODAY ซึ่งเป็นงานเขียน รู้ว่ายากง่ายต่างกันมากไหม

พื้นฐานชอบการเขียนมากกว่า สมัยก่อนเป็นคนพูดไม่เก่ง อยู่ดีๆก็พูดเก่งเฉยเลย พอทำงานเรื่อยๆ มันก็จำเป็นกับอาชีพการงาน ก็จริงๆชอบเขียนประมานนึง พอมาจับงานพูด ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกันค่ะสองแบบนี้ แต่พื้นฐาน เหมือนกันในเรื่องของการเรียบเรียงความคิด จับประเด็น โครงร่าง แต่ว่าเวลาเขียน ต้องมีความประดิษฐ์ประดอยในการใช้คำ 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เช่น คำซ้ำกันไม่ควรอยู่ใกล้ๆกัน หรือว่าการใช้คำที่มันสัมผัสกัน การจัดย่อหน้า การเคาะ ใส่ฟันหนู อะไรแบบนี้ เป็นความงามของมัน เราชอบการจัดหน้า เป็นเด็กอักษรเนอะ ส่วนการพูดก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่ง คือเฟื่องมองว่า ภาษาพูดเราอาจจะไม่ต้องสวยเท่าภาษาเขียน แต่ว่าหัวใจสำคัญของการพูดมันก็มีองค์ประกอบอื่น ๆ การสื่อสารมันก็มีผู้ส่งสาร สารและผู้รับสารใช่ไหม แล้วเวลาเราสื่อสารด้วยการพูด มันจะมีอวัจนะภาษาเยอะ เช่น น้ำเสียง ท่าทาง ซึ่งมันก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไป คือเราสามารถเล่นกับมันได้ มันก็ สนุกไปอีกแบบ 

จุดเริ่มต้นในการทำ Channel ของตัวเองคืออะไร

ตอนแรกทำขำๆ คงเหมือนกับคนทั่วๆไปนี่แหละที่มีอะไรที่ดีก็อยากจะบอกต่อ เหมือนเราศึกษาอะไรมา เราก็อยากจะแชร์ให้คนอื่นฟังอะไรแบบนี้ จริงๆเริ่มมาจากเว็บ เราชอบเขียนมากกว่านะ แต่ว่ามันก็ไม่ค่อยเกิดเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีเวลาเขียน มาทำ Channel เพราะอยากทำอะ ตอนแรกเริ่มจากร้องเพลง แต่คนดูอาจจะไม่เยอะ เราก็ถ่ายเอง ตัดเองแบบเด๋อ ๆ 

เริ่มมาประสบความสำเร็จจากเรื่องกล้องค่ะ เพราะว่าทำทิ้งไว้ในยูทูป ไม่ใช่กล้องใหม่ด้วยนะ มันออกมาเกือบปีแล้ว แต่ว่าเราได้มา แล้วเราก็เลย รู้สึกว่ามันดี ก็ลองเอามาเล่นๆ แล้วก็ถ่ายทอดออกมาตามประสาเรา อยู่ดี ๆ คนมาจากไหนไม่รู้ เค้าคงเสิชหาเจอมั้งคะ ก็คนดูเยอะ เรารู้สึกว่ามันเริ่มไปได้ ก็ทำเองมาเรื่อยๆ ทำมั่ง ไม่ทำมั่งตามรายสะดวก ขยันหน่อยก็ทำ อะไรแบบนี้ ทำมาประมานปีกว่า ๆ จนตัดสินใจลาออกจากช่องและดีเจทั้งหมด มาทำของตัวเอง 

เหมือนตอนนี้เฟื่องจะสนใจการเงินเพิ่มขึ้นด้วย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าจุดเริ่มต้นมาจากอะไร 

พวก Block chain, Cryptocurrency ใช่ไหม เฟื่องว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของไอที คือสำหรับเฟื่อง ไอที สมัยก่อนมันอาจจะเป็นเรื่องของ Hardware, Gadget, App, กล้อง สำหรับเราพวกนี้มันยังไปได้อยู่ แต่ว่าสิ่งที่น่าสนใจคืออนาคต จะบอกทีมตลอดว่า Let’s dance in the future 

ซึ่งเรื่องพวกนี้ อย่าง Cryptocurrency มันเป็นเงินดิจิตอล คือเป็นเงินในอนาคตที่ใช้เทคโนโลยีในการรองรับ เราค่อนข้างสนใจเรื่องนี้เพราะมันมีเทคโนโลยีสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วเราก็เชื่อว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตการใช้งานของเราไป ซึ่งตอนนี้มันก็ยังใหม่มากๆ ทั่วโลกก็ยังศึกษากันอยู่ ซึ่งเฟื่องเองก็พยายามสนใจไอทีที่มันเป็น Deep tech มากขึ้น แบบ AI , Big data, Blockchain ซึ่ง Blockchain เราก็รู้สึกว่ามันคืออนาคต มันเปลี่ยนโลก รู้สึกว่าอีกนิดนึงก็จะเปลี่ยนแล้ว ก็เลยไปศึกษา 

จริง ๆ เริ่มมาจากคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ทุกวันนี้ก็อาจจะมีผิดบ้าง แต่ก็จะพยายามทำการบ้านให้ดีที่สุด เราอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เราก็เลยพยายามศึกษามาในมุมที่ว่า คนทั่วไปควรจะรู้อะไรบ้าง เราก็พยายามจะเอามาเล่า ให้ทุกคนได้เข้าใจและตื่นตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงนี้พร้อมๆกัน เฟื่องเชื่อว่าประเทศไทย สื่อที่นำเสนอเรื่องเหล่านี้ ที่เกี่ยวกับอนาคตอาจจะยังไม่มากเท่าไหร่ เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเรารู้เราก็จะได้เปรียบมากขึ้น 

ปัจจุบันมีการแชร์ข่าวกันเยอะมากจนไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนปลอม เฟื่องมีวิธีแนะนำยังไงไหม 

อ่าน LINE TODAY ค่ะ ฮ่าๆๆ จริง ๆ ส่วนตัว เนื่องจากเราทำงานบนสมาร์ทโฟนเยอะ ใช้อินเตอร์เน็ตตลอดบางครั้งเราต้องเลือกที่จะหยุดในบางจังหวะ เพราะฉะนั้นเฟื่องจะเลือกเสพข่าวเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น แบบบางเรื่องเช่น เจนี่มิกกี้ เค้าอะไรยังไงกัน ก็มีบ้าง แต่วิธีเลยที่กรองข่าวจริงข่าวปลอมคือ อะไรที่มันดูเวอร์มาก ๆ ดูแบบมันน่าจะแปลก ๆ มันก็ต้องไปล้วงลึกให้มากขึ้น 

เช่น เอาไปเสิชเพิ่มเติมว่าแหล่งที่มาข้อมูลมันมาจากเว็บไหน เชื่อถือได้หรือเปล่า อะไรแบบนี้ แล้วมันพาดหัวแบบนี้ พอคลิ๊กเข้าไปแล้วมันเจอเนื้อหาจริงๆหรือเปล่า อย่าเพิ่งรีบแชร์ค่ะ ต้องใจเย็น ๆ บางอันมันก็ไม่จริงเสมอไป ก็ต้องตรวจสอบที่มาก่อน เดี๋ยวนี้มันเป็น User Generated Content Era ซึ่งเราก็ใช้วิจารณญาณก่อน เพราะใคร ๆ ก็สร้างข่าวขึ้นมาได้ 

มีความเห็นเกี่ยวกับความรักบนโลกออนไลน์ยังไง

เรื่องนี้ไม่อยากตัดสิน เพราะส่วนตัวแล้วเลยเมื่อก่อน ไม่เชื่ออย่างมาก ว่ามันจะยังไงนะ เพราะเฟื่องมองว่าโซเชีบลมันเป็นการรู้จักกันแค่ด้านเดียว มันผิวเผินสุดๆ สมมุติ Follow IG กัน ไปเจอกัน กดไลก์รูปกันไปมา ทุกคนมันเลือกที่จะนำเสนอแต่ด้านดีกันอยู่แล้ว ไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปได้ยากที่จะเกิดความรักขึ้นบนโลกออนไลน์ 

แต่ในขณะเดียวกันเรราก็เห็นที่ประสบความสำเร็จกันเยอะ เมื่อกี้ที่ขับรถมาฟังวิทยุ ก็มีที่เค้าสัมภาษณ์ “สอดอสไตล์ (เน็ตไอดอลชื่อดัง)” ว่าเค้าเจอกับแฟนในไอจีเค้าก็รักกันไ้ด้เนาะ สามปีละ ก็เอาเป้นว่ามันเป็นแค่เครื่องมือที่ทำให้เรารู้จักคนได้มากขึ้นมากกว่า แต่ถ้าจะคบกันแบบยาว ๆ ตกลงปกลงใจอะไรบางอย่าง ลงหลักปักฐาน เสียเงิน หรืออะไรพวกนี้ควรศึกษากันให้รัดกุมก่อน

เทคโนโลยีในอนาคต คิดว่ามนุษย์ของเราจะเปลี่ยนไปยังไง เราอายุยืนขึ้นจะดีไหม

เหรียญมีสองด้านเสมอ ส่วนมากคือเราค่อนข้างเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีเยอะ เราได้ใช้แล้วมันแบบไร้รอยต่อ ทำให้เราสะดวกขึ้นจริงๆ ทุกอย่างเลย บริการต่างๆ คือเทคโนโลยีพัฒนาโดยมนุษย์ ซึ่งมนุษย์จริงๆก็อยากจะมีชีวิตที่สบายขึ้นดีขึ้นก็เลยประดิษฐ์สิ่งพวกนี้ขึ้นมา ส่วนมากเชื่อว่ามันมีด้านบวกของมันอยู่ เราจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ดีขึ้น 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะมีด้านลบที่แฝงอยู่เช่นกัน เช่น คนที่ปรับตัวตามไม่ทัน หรืออาชีพบางอาชีพที่แทนที่ได้ด้วย AI หรือหุ่นยนต์ เค้าก็จะไปต่อได้ลำบาก ประกอบกับ เทคโนโลยีมีด้านบวกแต่ถ้าคนนำไปใช้ผิด ๆ ก็สามารถทำให้เกิดเรื่องไม่ดีได้ เช่น แฮคเกอร์ ปล้นเร็ว หลายคนที่กลัวสังคมไร้เงินสด ทุกอย่างมันมีด้านบวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรู้รับและปรับตัวไปกับมันได้ยังไงมากกว่า

ดูแล้วเป็นคนทำงานเยอะมาก เวลาว่างสาวไอทีแบบเฟื่องชอบทำอะไร

ก็จริงๆเป็นคนทำงานเยอะ ก็เยอะไป ก็รู้ตัว แต่ก็พยายามหา Work life balance ที่ดีอยู่ ตอนนี้ส่วนตัวชอบอยู่บ้าน เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทำงานเยอะมาก จริง ๆ ก็ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มองปลา มองสีเขียว เราอยู่ในโลกออนไลน์และโลกของเทคโนโลยี ทุกอย่างมันเร็วไปหมด แล้วเราต้องบริหารคนด้วย มันมีหลายเรื่อง เราก็เลยใช้เวลาว่างของเราในการขัดเกลาจิตใจของเราเอง มองสีเขียวอะไรแบบนี้ค่ะ ดูหนัง ซีรี่ย์อะไรแบบนี้บ้างเหมือนกัน ก็สโลวไลฟ์

คติในการทำงานของเฟื่องคือไร เพราะเฟื่องเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในขณะที่อายุยังน้อยอยู่เลย

จริง ๆ ที่ผ่านมาที่มาถึงทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากการวางแผนเท่าไหร่นะคะ แต่ว่าเกิดจากการที่รู้สึกว่าเราพยายามเลือกทำในทุกๆโอกาสที่มันเข้ามา แล้วเรามองว่า ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียดายหรือเปล่าเมื่อมองย้อนกลับไป ดังนั้นมันก็เลยทำให้เหมือนทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันไป มองย้อนกลับไปทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมดแล้วก็มีเหตุผลทั้งสิ้น 

ถามว่าเป็นคนเป๊ะในการทำงานไหม ส่วนมากใช่นะคะ โดยเฉพาะตอนโซโลเดี่ยวมีความเป็น Perfectionist เบา ๆ มีอะไรเราทำการบ้านก่อนตลอด คือเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนเก่งที่สุด อย่างตอนเราทำรายการไอทีใหม่ ๆ มีคนว่า เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบอ่านคอมเมนต์เท่าไหร่ เพราะรู้สึกกลัวเหมือนกันนะ พอไปอ่านครั้งนึงจำได้เลยว่าเราร้องไห้ เพราะเค้าว่าเราว่า พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้เลย แต่ตอนนั้นทำรายการแบไต๋ไฮเทค ทำกับพี่ ๆ ที่เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการมาเป็นสิบปี แล้วเค้าเก่งมาก ๆ เราก็ถูกโยนเข้าไปในรายการสดเลย เราก็พยายามทำการบ้านแล้ว เราก็ทำการบ้านหนักขึ้นไปอีก เวลาเราไปเป็นพิธีกรอะไร เราก็ทำการบ้านก่อน อ่าน ศึกษาข้อมูล เตรียมคำถามอะไรอย่างนี้ มันก็จะมีโจทย์ท้าทายบ่อย ๆ ค่ะ เป็นอย่างนั้น แต่เวลาบริหารคนก็จะต้องลดดีกรีพวกนี้ลงมาบ้างเป็นบางจุด เพราะมันต้องมีเร็ว ช้า หนัก เบา สลับกันไปในการทำงานร่วมกับน้อง บางทีเราจะ Perfectionist บ้างมันก็จะตึงเกินไป ส่งผลที่ไม่ดีต่อมวลรวมการทำงาน เราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เราก็จะผ่อนกันไป ในโชนของตัวเองเราก็ก็ทำให้ดีในส่วนของเรา แต่ส่วนของน้องเราก็ให้เวลา ค่อย ๆ สอนหรือเราอะไรอย่างงี้

โสดไหม มีมุมมองเกี่ยวกับความรักยังไง

ต้องการคนที่เราได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด คือจริง ๆ เนื่องจากเราเป็นผู่หญิงทำงาน เราก็ไม่ได้มีเวลาที่จะไปโฟกัสกับความรักเยอะที่สุด แต่ว่ายิ่งโตมายิ่งเหมือนชัดขึ้นว่าเราอยากที่จะได้คนที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในโลกเลย เราไม่ต้องแอ๊บสวย กินก๋วยเตี๋ยวห้ามกระเด็นอะไรแบบนี้ หัวเราะก๊าก ๆ ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมคะ ต้องช่วยสนับสนุนเราได้ ทั้งเรื่องจิตใจอันนี้สำคัญ และเป็นเพื่อนคู่คิดด้วย น่าจะต้องเป็นคนที่ชอบอะไรคล้ายกัน ไม่ต้องเหมือนกันทุกอย่างก็ได้ แต่ต้องพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน 

เวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งทรุด อีกคนก็สามารถแปลงตัวเป็นไหล่ ให้อีกคนพิง ตอนนี้ยังไม่มีแบบจริงจัง แต่ถ้าถามว่ามีคนคุยไหม ก็มีค่ะ แต่ว่ายังทำงานเป็นหลักอยู่ ตอนนี้ยังไม่กล้าผูกมัดกับใครจริงจังขนาดนั้น เพราะรู้ตัวว่าตอนชีวิต Work life balance มัน 95% กับ 5% คือ Life (ชีวิต) มันห้าเปอร์เซ็น มันก็ควรจะให้ตัวเอง ให้ที่บ้าน ไม่กล้าที่จะผูกมัด แต่ว่ารอดูในอนาคตข้างหน้า ถ้ามีเวลามากขึ้นก็อาจะดีขึ้น 

วิธีทำให้ตัวเองสดใสตลอดเวลา 

เราต้องรู้สึกตื่นเต้นกับทุกวัน บางครั้งเราใช้ชีวิตเดิมๆซ้ำๆ เรารู้สึกเกลียดงานจังเลย เกลียดเจ้านายว่ะ เป็นต้น แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เรารัก ซึ่งเราควรจะทำในสิ่งที่เรารัก แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เรารักไม่ได้ เราก็ต้องรักในสิ่งที่เราทำ เพราะฉะนั้นเราต้องหาจุดเล็กในสิ่งที่เราทำ เพื่อให้มันมีความหมายกับชีวิต เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่สามารถดึงออกมาได้ 

อย่างของเฟื่องคือ จริง ๆ การมีออฟฟิศของตัวเองมันก็มีความหมายและเป็นเป้าหมายอย่างนึงในชีวิตที่แบบ ตื่นเช้าขึ้นมายังมีน้องที่รอเราอยู่นะ แม้กระทั่งลูกเพจ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เราอยากจะมอบสิ่งดีๆให้กับเค้า แล้วมันก็มีคุณค่าไปเหนือตัวเราเอง แบบนั้นมันก็จะทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเราใช้ชีวิตเพื่อตัวเราเอง เราก็จะหมดไฟง่ายมาก เหมือนแบบก็มีเยอะแล้ว ก็เออ แต่ถ้าแบบเราใช้ชีวิตแบบว่า ตัวฉันมีประโยชน์ยังไงกับโลกใบนี้ มันจะดีขึ้น มันจะมีพลังมากขึ้น ไม่ว่าเหนื่อยยังไง แต่แบบฉันอยู่ไปเพื่ออะไร ฉันมีประโยชน์กับสังคม 

รู้สึกว่าเรื่องราวไอทีที่เฟื่องนำเสนอไป มุมบางอย่างที่พอคนได้ฟังแล้วเค้ามาบอกว่าเออมันเปลี่ยนเค้านะ มันช่วยเค้า มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเออมันมีคุณค่าว่ะ เราแปลงเรื่องที่ไม่มีคนสนใจให้มีคนสนใจได้มันเปลี่ยนชีวิตเค้าได้ก็ดีใจ

งานกับความรัก

ขอเลือกงานก่อนค่ะ เพราะว่าสำหรับเฟื่องเฟื่องเชื่อว่าความรักมันจะมาในช่วงเวลาที่เราค้นพบตัวเองแล้ว หลายคนอาจจะคิดไม่เหมือนกัน การที่เราได้ทำงานมีความรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เราต้องดูแลตัวเองได้ก่อน เราก็จะไปดูแลคนอื่นได้ เราจะได้ฝึกปรือความแข็งแกร่งของเราในหลายๆด้าน จากการทำงานก่อน เพราะความรักคือการดูแลกันและกันใช่ไหมคะ ไหนจะดูแลลูกต่ออีก ซึ่ง มันคงยากถ้าเราไม่มีวุฒิภาวะที่เพียงพอ แล้วก็ฐานะด้วยมันก็จะได้มาจากการที่เราทำงาน คนที่ใช่ก็จะเข้ามาในเวลาที่ใช่ เฟื่องเชื่อแบบนั้นค่ะ 

แนะนำสาว ๆ ยุคใหม่ที่อยากเป็นแบบเฟื่อง

เฟื่องไม่อยากนิยามว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะ เพราะ Work life balance มันพังอยู่ตอนนี้ ซึ่งรู้สึกว่าทุก ๆ คนมีจังหวะความเร็วของตัวเอง มีเส้นทางของตัวเองให้ก้าวต่อไป บางครั้งเราควรมีเป้าหมายบ้าง แล้วก็ทำเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ว่าระหว่างทาง เราก็เรียนรู้ไป ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ยิ่งโลกโซเชียลมันเหนื่อยเนอะที่แข่งกันใช้ชีวิตช่วงวันหยุดแข่งกันแต่งตัว อะไรแบบนี้ บางครั้งเอาเวลาไปใช้กับจังหวะชีวิตของตัวเองน่ะ แล้วก็ค้นพบพลังในตัว 

เฟื่องเชื่อว่าทุกคนมีพลังอยู่ในตัวที่ซ่อนอยู่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าทำยังไงที่เอาพลังนั้นออกมาให้ได้ ก็อจจะต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองทบทวน เมื่อทบทวนได้ประมาณนึง ก็พุ่ง มุ่งหน้าออกไป แต่ว่าต้องสลับกันไป พุ่งบ้าง ทบทวนบ้าง แล้วมันก็จะสามารถไปถึงจุดที่เรามีความสุขได้เอง เฟื่องเชื่ออย่างนั้น 

…ติดตามผลงานของนางฟ้าไอทีคนนี้ “เฟื่องลดา” คอลัมน์ THINK TODAY ทุกวันพฤหัสบดี ทาง LINE TODAY!…

ความเห็น 120
  • Pook🐈59
    Perfectionist คะ จะเปิดเสื้อโชว์ไหล่ เพื่อ...
    17 ส.ค. 2561 เวลา 15.34 น.
  • จะสวยสตรองกว่านี้ถ้าไม่โชว์เต้าครึ่งนึงอ่าครับ
    17 ส.ค. 2561 เวลา 15.32 น.
  • อัตตา.ราคะ.โทสะ.โมหะ
    เออว่ะ เปิดไหล่ไมวะน่ะ คุยเฉยๆก็ได้มั้ง
    17 ส.ค. 2561 เวลา 15.44 น.
  • อุ๋ย🎐Uai 🐵🐓🐭
    เข้ามาก็ไม่น่าอ่านแหละ เพราะการแต่งตัวของคุณนะ มั่นใจหน่อยเลือกซักทาง🙄
    17 ส.ค. 2561 เวลา 16.41 น.
  • JIDAPA@89
    พาดหัวข่าวน่าอ่านมากแต่พอเห็นท่า Action ดึงเสื้อลงเปิดไหล่.... จะดูเลอค่ามากถ้าไม่ดึงเสื้อลง
    17 ส.ค. 2561 เวลา 16.34 น.
ดูทั้งหมด