*1. รู้สึก และรับรู้ถึงทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น *
คุณต้องรับรู้ถึงสิ่งที่เค้าทำกับเรา
และความรู้สึกของตัวเองว่ามันคืออะไร
คุณไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่มันคืออะไร
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหันไปสนใจเรื่องอื่น
ในขณะที่ในใจยังรู้สึกถึงมัน
แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ
เราต้องรับรู้ว่ามันคืออะไร
แล้วบอกตัวเองว่า
ที่อารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไร
ถ้าคุณยังไม่ให้ความสนใจกับความรู้สึกตัวเอง
แถมยังหนีจากสิ่งที่เกิดขึ้น
การหนีความรู้สึกตัวเองไม่ได้ทำให้มันหายไป
ยิ่งคุณหนี ก็เหมือนคุณแบกมันตามไปด้วย
ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย
เพราะไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน
มันก็ยังจะอยู่กับเราเหมือนเดิม
สิ่งที่ผมเคยทำเกี่ยวกับข้อนี้
คือ เมื่อผมรู้สึกอะไรสักอย่างขึ้นมา
ผมจะเขียนมันออกมา
อย่างที่คุณเคยได้อ่าน
ผมเขียนออกมา เพื่อที่ผมจะทำความเข้าใจตัวเองว่า
ที่จริงแล้วข้างในของผมรู้สึกอะไร
เพื่อที่จะได้จัดการกับตัวเองถูก
หรือบางครั้งที่ผมไม่อยากเขียน ไม่มีอารมณ์
ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด บันทึกเสียง
แล้วอัดเสียงตัวเองในเวลานั้นลงไป
พูดทุกอย่างที่คิด ณ เวลานั้น แล้วมาเปิดฟังในวันรุ่งขึ้น
ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นการระบายอย่างหนึ่ง
เพราะบางทีเราเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้สึกอะไร
แค่รู้สึกว่า ตอนนี้เราไม่โอเค
แต่พอเพื่อนถามว่า สรุปมึงเป็นไรวะ
เรากลับบอกว่า เออ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน
ฉะนั้น ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าที่รู้สึกอยู่คืออะไร
เขียนมันออกมา พูดมันออกมา แล้วทำความเข้าใจ
ยังไม่ต้องเข้าใจตั้งแต่ตอนนี้
แต่พอทำไปสักพัก มันจะเข้าใจเองว่าที่เป็นอยู่มันคืออะไร
*2. เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น จากการอกหัก *
มันง่ายที่จะโฟกัสว่าการอกหักในครั้งนี้เรารู้สึกยังไง
แบบ โห มันสุดยอดมากเลย มันโรแมนติกมาก ไม่เคยเจอใครดีเท่าคนนี้
ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยทะเลาะกันเลย
แต่ทะเลาะทีเดียวเลิกเลย 555
เราหมุนเวียนความทรงจำเหล่านั้นเหมือนโปรเจ็คเตอร์ที่ฉายภาพเก่าๆ ที่เคยมี
แต่วันนี้ไม่มีแล้ว
แต่จริงๆ เราควรจะอยู่กับความจริงตอนนี้
แล้วโฟกัสว่า
เราได้อะไรจากการสูญเสียในครั้งนี้มากกว่า
สิ่งหนึ่งที่สำคัญ เค้าบอกว่า
When someone shows you their true colors don’t try to re paint them.
หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า ถ้าใครสักคนเผยทาสแท้ให้เราเห็นแล้ว
อย่าไปพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเขา
เคยเป็นมั้ยที่พอเจอเหตุการณ์นึงแล้ว
เราคิดว่า จริงๆ ถ้าวันนั้นเราทำแบบนั้น
เค้าอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
บางทีเราเองก็ต้องเปลี่ยนด้วยต่างหาก
บางทีเราเองก็ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
แทนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
หันกลับมาเรียนรู้ว่า เราทำอะไรผิดพลาดไป
แล้วเอาบทเรียนที่ได้มาทำให้ความสัมพันธ์ครั้งต่อไปมันดีขึ้นดีกว่า
เลิกหมกหมุ่นกับสิ่งที่เคยมี
แล้วสนใจกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่า
*3. จูนความคาดหวังตัวเองให้ดี *
ข้อนี้สำคัญมาก
บางคนชอบคิดว่าความรักต้องเหมือนในละคร
เหมือนในหนัง มิวสิกวีดีโอ
เราอาจจะชอบหนังโรแมนติกคอมมาดี้ พระเอกตามง้อ
มีโมเม้นกุ๊กกิ๊กให้เกร็งมือกันทุก 15 นาที
แต่อย่าคาดหวังความรักจากชีวิตจริงในแบบนั้น
บางคนดูหนังมากจนคาดหวังว่า
คนรักของเราจะเข้าใจเรา ในขณะที่เราไม่เคยบอกความรู้สึกตัวเองออกไป
บางคนคาดหวังว่า แฟนจะอ่านใจเราออก
แบบที่เคยดูในหนังหรือแบบที่โฆษณาบอกมา
พอเค้าไม่ใช่อย่างที่คิดไว้
ก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่ความรักที่ดี
จริงๆ เราต้องเอาความจริง บริบทของเราทั้งสองคน
มาตั้งเป็นความความหวังที่ควรจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่การคาดหวังที่เกิดขึ้นจากการคิดไปเองของเราคนเดียว
*4. เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างอายุทางกาย กับอายุทางใจ *
เค้าบอกว่าอายุทางใจเนี่ยมันสำคัญกว่าอายุทางกายเยอะเลยนะ
การที่เรามีอายุทางใจเหมือนกัน
นั่นหมายความเรากำลังอยู่ใน stage เดียวกันในชีวิต
เราชอบบอกว่า เนี่ย แฟนอ่อนกว่าสองปี
อ่อนกว่าห้าปี แก่ว่าสิบปี แก่กว่าสามปี
เรากำลังพูดถึงอายุทางร่างกาย
แต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใครสักคน
เราไม่ได้มีความสัมพันธ์อายุทางกาย
แต่เรามีความสัมพันธ์กับเขาทางจิตใจ
นั่นทำให้ผมคิดถึงเพื่อนบางคนที่บอกว่า
แฟนกูเด็กกว่า แต่คุยด้วยแล้วเป็นผู้ใหญ่นะ
บางคนก็บอกว่า แฟนแก่กว่า
แต่แม่งทำตัวยังกะเด็กสิบขวบ
ซึ่งบางทีที่เราไปด้วยกันไม่ไม่ได้
เพราะวุฒิภาวะทางจิตใจของเค้าและเรามันไม่เท่ากัน
หรือเราต่างอยู่ใน Stage ของชีวิตคนละ Stage กัน
บางทีแฟนเราอาจจะอยู่ใน Stage ของการค้นหาตัวเอง
จึงอยากสนุก อยากพบปะผู้คนไปเรื่อยๆ
แต่ Stage ชีวิตของเราคือการต้องการความมั่นคง
ต้องการใครสักคนที่จะร่วมกันเดินไปข้างหน้า ตามเป้าหมาย
พอเราอยู่คนละ Stage ความต้องการของเรามันเลยไม่เหมือนกัน
จนบางทีมันก็ไปด้วยกันไม่ได้
บางคนสวย หล่อ ดูดีทุกอย่าง
แต่พอเข้าไปทำความรู้จักแล้ว
เรารู้สึกว่า Emotion age ของเค้ากับเรามันต่างกันเหลือเกิน
*5. ไม่ต้องตามหาใครสักคนมาเติมเต็มตัวเอง *
ใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้ในการที่จะเป็นตัวเอง
ผ่านการอยู่กับเพื่อน อยู่กับคนรอบๆ ตัว
ตอบสนองความต้องการของชีวิตตัวเองในแบบที่ต้องการ
การอกหักเนี่ย เราไม่ได้สูญเสียบางส่วนของเราไป
ต้องเข้าใจก่อนว่า จริง ๆ แล้วเราต่างเต็มด้วยกันทั้งคู่
การมีความรักโดยการที่คิดว่าตัวขาด
แล้วหาอีกคนมาเติม อาจไม่ใช่วิธีทีดีนัก
ไม่ใช่ว่าต้องมีใครสักคนแล้วเราถึงจะมีความสุข
เราต้องมีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อน และเมื่อเรามีความสุขได้เอง
ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาที่เราพร้อมจะมีใครสักคนที่จะมีความสุขด้วยกันไปด้วย
*6. อย่าเพิ่งรีบเดทกับคนใหม่ *
ถ้ายังไม่เยียวยาตัวเองจนหาย
ก็อย่าเพิ่งลากใครคนใหม่เข้ามาสร้างความเจ็บปวดเพิ่ม
รอจนกว่าตัวเองจะหาย
รอจนกว่าตัวเองจะพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่
อย่างที่บอกว่า ตัวเองไม่ได้ขาด ไม่ต้องหาใครมาทดแทนช่วงเวลาที่เราเยียวยา
นี่คือเวลาที่เราจะได้เยียวยา
เวลาที่เราจะได้ทำความเข้าใจตัวเอง
ว่าที่จริงแล้วเราต้องการอะไรจากชีวิต จากความรักในครั้งนี้ และครั้งต่อไป
ไหนบอกว่าสูญเสียตัวเองจากความรักในครั้งนี้
ตอนนี้ก็มีเวลาแล้ว ออกตามหาตัวเองก่อน
พักก่อน รู้ว่าฮอต มีคิวมาต่อ
แต่ถ้ายังไม่ได้เรียนรู้ ยังไม่ได้เยียวยาจนหาย
คนที่เจ็บจนเลือดไหล แล้วพยายามวิ่งต่อ
ถึงจะมีคนวิ่งข้างๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เลือดหยุดไหล
พักจนกว่าแผลจะหาย
แล้วค่อยเริ่มต้นออกไปทำความรู้จักใครสักคนใหม่
อย่าลืมว่า รัก มันเป็นกริยา ไม่ใช่คำนาม
หลายคนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาพของความรัก
รักคือการแสดงออกทางความรู้สึกและการกระทำ
รักไม่ใช่การบอกว่ารักเรา แต่ทำตัว…. แย่ ใส่เรา
รักไม่ใช่การบอกว่ารักเรา แต่สุดท้ายก็ทิ้งเราไป
ตอนนี้หรือถ้าวันไหนที่อกหัก
ลองถามตัวเองว่า เขาแค่บอกว่ารัก
หรือเขาแสดงออกว่ารักเราจริงๆ
ฟังดูเหมือนไม่ต่าง
แต่คำว่ารักที่มาจากปาก
แต่การกระทำมันตรงกันข้าม
มันแตกต่างกันมากกว่านั้นนะ
หวังว่าจะเยียวยาตัวเองได้ดีขึ้นในทุกๆ วัน
อ้อ อีกข้อนึงที่ผมเพิ่งคิดขึ้นมาได้
ถ้าเราไม่ได้รู้สึกอยากจะเยียวยาตัวเองตั้งแต่แรก
ต่อให้หาอะไรอ่าน หาอะไรดู หาอะไรฟัง
หรือไปถามใครต่อใครว่าควรทำอย่างไรดี
มันก็ไม่มีประโยชน์
ถามตัวเองก่อนว่ายอมรับความจริงแล้วรึยัง
ถ้ายัง อย่าเพิ่งเริ่มเยียวยาเลย
ดื้อยาเปล่าๆ
Special Thanks to : 6 Healthy ways to heal and move on from heartbreak by Jay Shetty
€¥£ ก่อนเยียวยา เรียนรู้ตัวเองก่อน ค่อย...
ปลง คิดให้เป็น
อยู่กับสิ่งที่มีความสุข เช่น อยู่คนเดียวแล้วสุข ก็อยู่คนเดียว
หางานอดิเรก ร่วมกับสิ่งที่มีความสุข
ลองอะไรใหม่ๆ
กินอาหารที่ชอบ
ออกกำลังกาย
สุดท้าย มองตัวเองให้ขาด อย่ากลับเข้าสู่จุดที่ต้องเยียวยาตนเองอีก
15 พ.ย. 2562 เวลา 05.40 น.
chAyA ถ้าการเยียวยาตัวเอง คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น..เป็นสิ่งที่ดี ***
แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลง..เป็นไปเพื่อเขา จนเราไม่เป็นตัวของตัวเอง ^^และเราไม่มีความสุข
ก็ไม่จำเป็นต้องเยียวยา/ไม่ต้องเปลี่ยนใคร
ถ้าเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันยังไม่ดีพอ สำหรับเขา เราควรจะเดินออกมา.. จงทำสิ่งดีๆต่อไป.. เพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อเป็นที่ยอมรับของใคร.. เพราะคำว่า "ดีพอ"ของคนเราไม่เท่ากัน.!
15 พ.ย. 2562 เวลา 07.58 น.
ผมคิดว่าบางครั้งในการที่มีเวลาให้กับตัวของเราเองบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเหมือนกันนะครับ เพราะว่าอย่างน้อยก็ทำให้เรามีเวลาพิจารณาในสิ่งที่เราควรจะแก้ไข หรือว่าปรับปรุ่ง เพื่อให้ไปในแนวทางที่ดีและถูกต้องกว่าเดิมได้เหมือนกันนะครับ.
15 พ.ย. 2562 เวลา 08.17 น.
NewJum🧡JNS🦅 ดีมากเลยบทความนี้👍🏻👍🏻👍🏻
15 พ.ย. 2562 เวลา 09.29 น.
Tricia 😘 เยียวยาตัวเองกับ ช่วยตัวเองมันเหมือนกันรึเปล่าน้า???
15 พ.ย. 2562 เวลา 06.57 น.
ดูทั้งหมด