นับแต่นี้ต่อไป “มนุษย์” หรือ “คน” เรา เมื่อสิ้นชีวิตวายวางดับชีพลง คงมิได้เหลือแต่ “ชื่อเสียงดี-ร้าย” ให้อนุชนรุ่นหลังได้กล่าวขวัญถึง ตามที่ “โคลงโลกนิติ” ภาษิตโบราณกล่าวขานเพียงเท่านั้น ทว่า ร่างที่วางวายเพราะชีพได้ปลิดปลง ก็ยังคงสามารถนำไปทำเป็น “ปุ๋ย” อาหารของพืช หล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต แบบว่า ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างหลังละโลกนี้ไปแล้วเฉกเช่น “วัว-ควาย” ที่ยังเหลือ “เขา-หนัง” ให้เป็นประโยชน์ ตามที่ภาษิตโบราณข้างต้นกล่าวขานเป็นอนุสติเตือนใจไว้ด้วยเช่นกัน
เมื่อล่าสุด ปรากฏว่า ทางการรัฐวอชิงตัน รัฐทางตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสภาท้องถิ่นของรัฐดังกล่าว มีมติในที่ประชุมสภาฯ เพื่อผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยการสามารถนำศพของมนุษย์ไปทำเป็นปุ๋ยได้ ตามนโยบายในอันที่จะ “ลดปริมาณสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ (Natural Organic Reduction)” ภายหลังจากถกเถียงกันมานานพอสมควร ถึงการที่จะนำร่างอันไร้วิญญาณของมนุษย์เรา ที่ฝังอยู่ตามสุสานทั้งหลายตามการประกอบพิธีกรรมของศาสนาคริสต์ มาทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าปล่อยให้ร่างอันไร้วิญญาณเหล่านั้น นอนนิ่งฝังจมอยู่ในสุสานให้เปลืองพื้นที่กันเปล่าๆ กระทั่งที่ประชุมสภาฯ ผ่านร่างกฎหมาย หลังจากนั้น ก็ยื่นเสนอให้ “นายเจย์ อินสลี” ในฐานะ “ผู้ว่าการรัฐวอชิงตัน” จรดปากกาลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าวในที่สุด เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ก็ส่งผลให้ “วอชิงตัน” รัฐทางตะวันตกแห่งนี้ กลายเป็นรัฐแห่งแรกของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กฎหมายอนุญาตให้นำร่างมนุษย์ผู้เสียชีวิตไปทำเป็นปุ๋ยปลูกพืชบำรุงดินได้ และก็กลายเป็นอีกทางเลือก หรือทางเลือกใหม่ สำหรับการจัดการซากศพของมนุษย์ผู้เสียชีวิตว่า สามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ นอกเหนือจากการฝังและการเผา ที่ทำกันอยู่เดิมแล้ว ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวได้ถือกำเนิดขึ้น ก็จะทำให้เพิ่มทางเลือกของคนเราว่า จะให้ผู้คนที่อยู่ข้างหลังจัดการกับศพของตนเองให้เป็นปุ๋ยได้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของทางการในหลายรัฐ เกี่ยวกับพื้นที่การจัดการศพ หรือสุสานฝังศพว่า มีปริมาณลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากบรรดาศพทั้งหลาย ถูกนำไปทำปุ๋ยกันเช่นนี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่า จะไม่มีพื้นที่ฝังศพอีกต่อไป กล่าวถึงเบื้องหลัง ที่มา ที่ไป ของกฎหมายฉบับนี้ ก็ต้องยกยอดความดีไปให้กับ “แคทรินา สเปด” “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” หรือ “ซีอีโอ” หญิง แห่ง “รีคอมโพส” บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจการจัดการเปลี่ยนศพเป็นปุ๋ย ซึ่งเป็นบริษัทแรกๆ ที่ดำเนินการด้านนี้ในสหรัฐฯ เป็นผู้รณรงค์เคลื่อนไหวในอันที่จะผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว ให้ออกมาบังคับใช้ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ในด้านต่างๆ ตามที่เธอมุ่งหวัง และมุ่งมั่นที่จะย่อยสลายซากศพมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
โดยนางสเปด เปิดเผยถึงกระบวนการของการย่อยสลายซากศพมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ยว่า ก็คล้ายคลึงกับกระบวนการย่อยสลายเปลี่ยนซากศพของสัตว์อื่นๆ ให้กลายเป็นปุ๋ย นั่นคือ…นำร่างศพไปใส่ในหีบเหล็กรูปทรงหกเหลี่ยม ใส่พืชอัลฟัลฟา ไม้สับ (เนื้อไม้ หรือเปลือกไม้ ที่ถูกหั่น ถูกตัด หรือถูกสับเป็นชิ้นๆ) และ ฟาง ลงไป ก่อนปิดหีบบรรจุไว้เป็นเวลาประมาณ 30 วัน ร่างศพก็จะย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ซึ่งร่างศพ 1 ร่าง สามารถทำปุ๋ยได้ประมาณ 2 คันของ“รถเข็นแบบล้อเดียว” ซีอีโอหญิงแห่งรีคอมโพส กล่าวภายหลังจากที่ผู้ว่าการรัฐวอชิงตัน ลงนามในร่างกฎหมายข้างต้นว่า การย่อยสลายเปลี่ยนให้ร่างซากศพของมนุษย์เราให้กลายเป็นปุ๋ย ถือเป็นทางเลือกใหม่นอกเหนือจากการดองศพ การฝังศพ หรือการเผา ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และยั่งยืน แถมยังจะช่วยประหยัดการใช้พื้นที่สำหรับฝัง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นมลภาวะทางอากาศ จากการเผาศพได้อีกด้วย
ใช่แต่เท่านั้น รูปแบบการจัดการศพให้เป็นปุ๋ยดังกล่าว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการศพได้อีกต่างหากด้วย โดยจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงจากแบบปกติ 7 พันดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 5.5 พันดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แถมยังได้ปุ๋ยใช้บำรุงดินสำหรับการปลูกพืชผัก หรือแม้กระทั่งดอกไม้แสนรัก ยังประโยชน์อันมากหลายต่อไป
.OTE เข้าใจคำว่า ไปนอนคุยกับรากมะม่วงไหม นี่ไงละ อิอิ
26 พ.ค. 2562 เวลา 23.13 น.
Tany Turn your loved one into tomato, Eww !!
27 พ.ค. 2562 เวลา 00.46 น.
𝓀𝒶𝓃 🥰 Good idea hahaha
27 พ.ค. 2562 เวลา 00.57 น.
Pichit Sareewong เอาไปใช้ในสวน
กลัวหมาหอนทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน
27 พ.ค. 2562 เวลา 00.45 น.
yo แล้วใครจะใช้
26 พ.ค. 2562 เวลา 23.15 น.
ดูทั้งหมด