หุ้น การลงทุน

‘ดาวโจนส์’ ปรับตัวแคบ นักลงทุนระวังตัว ก่อนสหรัฐเปิดข้อมูล ‘เงินเฟ้อ’ พรุ่งนี้

The Bangkok Insight
อัพเดต 09 ส.ค. 2565 เวลา 16.37 น. • เผยแพร่ 09 ส.ค. 2565 เวลา 16.35 น. • The Bangkok Insight

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (9 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ "ดาวโจนส์" ยังเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวของนักลงทุน ก่อนที่สหรัฐ จะเปิดข้อมูลเงินเฟ้อในวันพรุ่งนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 32,798.62 จุด ลดลง 33.92 จุด หรือ 0.10% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,119.73 จุด ปรับลงมา 20.33 จุด หรือ 0.49% และดัชนีแนสแด็กที่ 12,459.39 จุด ร่วง 185.06 จุด หรือ 1.46%

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ดัชนีแนสแด็กดิ่งลงกว่า 1% โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หลังเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดการณ์

ดาวโจนส์

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐ จะเปิดเผยข้อมูล ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนกรกฎาคม ในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.) ซึ่งจะเป็นข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ต่อจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ ซึ่งเปิดเผยไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (5 ส.ค.)

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นักวิเคราะห์ คาดว่า ตัวเลขซีพีไอ ที่จะเปิดเผยออกมา จะบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว เนื่องจากราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อเดือนที่แล้ว โดยคาดว่า ซีพีไอทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหาร และพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 8.7% เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวจากที่พุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

ขณะเดียวกัน นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนกันยายน หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานพุ่งขึ้นเกินคาด

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 67.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 กันยายน และให้น้ำหนักเพียง 32.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนกันยายน ตามคาด ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ