ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทั่วโลก ล่าสุดราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกว่า 10% เพราะโรงน้ำมัน 2 แห่งที่ซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีทำให้การผลิตน้ำมันลดลง 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลายคนเลยกังวลว่าน้ำมันโลกจะขาดตลาดไหม และกระทบกับประเทศไทยอย่างไร
ราคาน้ำมันโลกพุ่ง ไทยเสี่ยง 3 ด้าน ค่าเงินอ่อน-เศรษฐกิจ-น้ำมันขึ้น?
อมรเทพ จาวะลาผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวกับ THE STANDARD ว่า จากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นความเสี่ยง และอาจส่งผลกระทบต่อไทยใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลง เนื่องจากไทยเป็นผู้นำเข้าสุทธิ เมื่อราคาน้ำมันขยับขึ้น ไทยต้องนำเงินดอลลาร์สหรัฐจ่ายออกไปต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดน้อยลง และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้
2) มีความเสี่ยงที่กระทบเศรษฐกิจไทย ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและขนส่ง ซึ่งต้นทุนหลักคือค่าน้ำมัน เช่น ธุรกิจสายการบิน โรงแรม ฯลฯ ซึ่งหากควบคุมต้นทุนได้จะลดผลกระทบราคาน้ำมันได้ในวงกว้าง
และ 3) ราคาน้ำมันโลกหากเพิ่มขึ้นในระยะยาว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องแบ่งเบาผลกระทบทั้งเครือข่ายผู้ผลิต รัฐบาลที่มีกองทุนน้ำมัน ผู้บริโภคซึ่งจะทยอยส่งผ่านกันมา
ดังนั้นราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น และในอนาคตคาดว่าราคาน้ำมันโลกจะปรับลดลงตามปัจจัยโลก โดยเฉพาะเรื่องอุปสงค์ (Demand) อุปทาน (Supply) ที่เกิดขึ้นจริงในโลกมากกว่า
ถ้าซาอุฯ กลับมาผลิตไม่ทัน น้ำมันโลกจะขาดตลาดจริงไหม?
อมรเทพ มองว่า ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ถือว่าเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะตลาดกังวลว่าจะกระทบกำลังการผลิตน้ำมันโลก แต่ระหว่างวันราคาน้ำมันโลกทยอยปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 10% แล้ว ดังนั้นผลกระทบจากการโจมตีโรงน้ำมันอาจสร้างผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลกในระยะสั้น แต่ต้องจับตาความเคลื่อนไหวทางยุโรปในคืนนี้ รวมถึงการตอบโต้ของซาอุดีอาระเบีย คาดว่าสถานการณ์น้ำมันโลกน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในสัปดาห์นี้ (16-20 ก.ย. 2562)
“จากข่าวการโจมตีโรงน้ำมันซาอุดีอาระเบียอาจจะกระทบกำลังการผลิต 50% ของซาอุฯ แต่ปัญหาใหญ่ของตลาดน้ำมันตอนนี้คือ Over Supply มากกว่า เพราะทั้งสหรัฐฯ จีน สต๊อกน้ำมันยังมากอยู่ ดังนั้นปัญหาน้ำมันขาดตลาดไม่ใช่ปัญหาที่กระทบหลายประเทศ ซึ่งดีมานด์น้ำมันในโลกยังชะลอตัวเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น”
ทั้งนี้มองว่าปัญหาน้ำมันขาดตลาดเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทั้ง OPEC และ Non-OPEC หรือประเทศอย่างรัสเซีย พร้อมขยายการผลิตน้ำมันเพิ่มได้ หากมีความร่วมมือระหว่างกันจะไม่เกิดปัญหาน้ำมันขาดแคลน อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองว่าความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวหากเกิดสงครามด้านน้ำมันจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ขนส่ง ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้
“ปัญหาน้ำมันตอนนี้เป็นเรื่องอุปทานที่มากเกินความต้องการของตลาด เพราะตอนนี้อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากความมั่นคง สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ซึ่งอาจกระทบต่อราคาน้ำมันได้ ทั้งนี้หากอุปสงค์มากขึ้น อุปทานยังขยายมาเพิ่มได้”
น้ำมันขึ้น ธุรกิจไทยใครได้-ใครเสียประโยชน์?
ข้อดีที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และราคาสินค้าเกษตรที่ใช้ทดแทนน้ำมัน เช่น ยางพารา ปาล์ม ฯลฯ อาจจะเห็นราคาขยับขึ้นตามราคาน้ำมัน แต่เป็นการขยับขึ้นแค่ชั่วคราว เพราะกำลังซื้อยังอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่เกิดขึ้นมีมากกว่าข้อดี หากเกิดสงครามน้ำมันขึ้นอาจส่งผลให้ไทยเกินดุลบัญชีน้อยลง และแม้ว่าเงินบาทอาจจะอ่อนลง แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวก็ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้มากเช่นกัน นอกจากนี้ต่างชาติอาจมองว่าไทยเป็น Regional Safe haven น้อยลง
ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า 3 กลุ่มหุ้นที่เสียประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนหลักคือน้ำมัน ได้แก่
1. กลุ่มสายการบินหากราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นเป็น 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะกระทบต่อสายการบิน เพราะช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบอยู่ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยหุ้นที่อาจได้ประโยชน์จากน้ำมันที่ยังไม่ทำสัญญาล่วงหน้า เช่น AAV, BA และ THAI
2. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อต้นทุนพลังงานอื่นๆ เช่น ถ่านหิน, ค่าไฟฟ้า, ก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวขึ้นตาม โดยบริษัทที่จะเสียประโยชน์ คือ TASCO ที่ใช้น้ำมันดิบในการผลิตยางมะตอย ธุรกิจปูนซีเมนต์มีต้นทุนพลังงานประมาณ 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ส่วนธุรกิจกระเบื้อง เช่น DCC อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากค่าขนส่ง สัดส่วนราว 7% ของยอดขาย
3. กลุ่มขนส่ง โลจิสติกส์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น ดังนั้นอาจจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อ WICE และ JWD
ราคาน้ำมันขึ้น ดันหุ้นกลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่น-ยางพาราขาขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัดกล่าวว่า วันที่ 16 ก.ย. 2562 ดัชนีหุ้นไทย (SET Index ) ปรับตัวสูงขึ้น พราะราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่มีสัดส่วนราว 25% ของ SET Index ขยับเพิ่มขึ้น และส่งผลดีกับหลายกลุ่มหุ้น ได้แก่
1. กลุ่มนํ้ามัน อย่าง PTT มีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบกลับมายืนเหนือ 62-65 ดอลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะได้กำไรของบริษัทลูก ทั้งในกลุ่มโรงกลั่น และ PTTEP ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ PTTEP ประหยัดค่าใช้จ่ายทางภาษี
2. กลุ่มโรงกลั่น หากราคาน้ำมันดิบกลับไปยืนเหนือ 62-65 ดอลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่อเนื่องถึงสิ้นเดือน ก.ย. จะมีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน จึงถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ TOP, BCP, PTTGC และ IRPC
3. กลุ่มยางพารา ได้ประโยชน์ทางอ้อมเพราะราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคายางสังเคราะห์ ที่เป็นสินค้าทดแทนยางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการผลิตยางรถยนต์ปรับสูตรมาใช้ยางพาราเพิ่มขึ้น และเป็นบวกต่อราคายางพาราจึงเป็น Sentiment บวกระยะสั้นต่อ STA เพราะเป็นผู้ประกอบการยางพารารายใหญ่สุดของโลก
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ โดรนโจมตีโรงน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย ทำให้ผลิตลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดิบพุ่งกว่า 10%thestandard.co/drone-attacks-on-saudi-arabian-oil-field/ราคาน้ำมันพุ่งแรงจากเหตุโจมตีโรงน้ำมันซาอุฯ, Fed เตรียมประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์นี้ คาดลดดอกเบี้ยเพิ่ม: 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องรู้ (16 ก.ย. 2562)
thestandard.co/finnomena16092019/
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
Parker∆×πO ตลก ประเทศไทยสต๊อคน้ำมันล่วงหน้าไว้แล้วเป็นเดือนๆ แหมพอเค้าปรับหน่อยรีบปรับตาม
16 ก.ย 2562 เวลา 14.02 น.
iMagic moment กองทุนน้ำมันเก็บไว้นานแล้วได้เวลาเอามาใช้ดิวะ
16 ก.ย 2562 เวลา 14.37 น.
กฤษ SNP ครับ ทุกวันนี้ราคาน้ำมันก็โคตรแพงอยู่แล้ว ระวังประชาชนจะพากันมาประชาทัณท์พวกเอง
16 ก.ย 2562 เวลา 14.20 น.
Samsam เวลาลงแมร่งเงียบกริ๊บ
16 ก.ย 2562 เวลา 14.12 น.
Bung ใครขึ้นใครลงกูก็จนเหมือนเดิม
16 ก.ย 2562 เวลา 13.53 น.
ดูทั้งหมด